294/1 Asia Building (11th Floor), Phyathai, Bangkok

ไวรัสตับอักเสบซี / Hepatitis C

ไวรัสตับอักเสบ ซี เป็นโรคมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี (HCV) โดยสามารถติดต่อกันได้ทางเลือด หรือการมีเพศสัมพันธ์ ทั้งนี้หากไม่ได้ทำการรักษา สามารถทำให้เกิดผลที่รุนแรงต่อตับตามมา โดยเฉพาะกับผู้ป่วยที่อยู่ในระยะเรื้อรัง มีโอกาสสูงที่จะพัฒนาเป็นโรคตับที่รุนแรงหรือมะเร็งตับได้ อย่างไรก็ตาม ด้วยการแพทย์และการรักษาในปัจจุบันที่ทันสมัย อาจสามารถรักษาให้หายได้ โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะสามารถควบคุมอาการและดำรงชีวิตได้อย่างเป็นปกติ

อาการของไวรัสตับอักเสบ ซี

 ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี จะไม่ทราบว่าป่วยเป็นโรคนี้เพราะว่าไม่มีอาการแสดงชัดเจน ซึ่งจะพบว่ามีอาการแสดงแล้วก็ต่อเมื่อตับได้รับความเสียหายมากแล้วนั่นเอง

ไวรัสตับอักเสบ ซี ระยะเฉียบพลัน มีอาการดังต่อไปนี้

  • มีไข้หรืออุณหภูมิในร่างกายสูงถึง 38 องศาเซลเซียส หรือมากกว่า
  • รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่สบาย
  • ไม่อยากอาหาร หรือเบื่ออาหาร
  • ปวดช่องท้อง
  • ผู้ป่วยในบางรายอาจมีอาการตัวเหลืองและตาเหลือง

   มีผู้ป่วยเพียงส่วนน้อย ที่จะมีอาการแสดงให้เห็นในช่วงระยะ 6 เดือนแรกที่ได้รับการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี แต่ในผู้ป่วยที่มีอาการแสดง อาการนั้น ๆ ก็จะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังการติดเชื้อ นอกจากนั้น ในผู้ป่วยบางราย สามารถหายได้เองโดยระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายสามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้เองในระยะเวลาไม่กี่เดือน และผู้ป่วยจะไม่มีอาการแสดงเพิ่มเติม นอกจากจะได้รับการติดเชื้ออีกครั้ง ในผู้ป่วยที่ยังมีเชื้อไวรัสหลงเหลืออยู่ในร่างกายเป็นเวลาหลายปี จะพัฒนาเกิดเป็นไวรัสตับอักเสบ ซี แบบเรื้อรัง

     โดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ ซี ระยะเรื้อรัง จะไม่แสดงอาการจนกว่าตับจะถูกทำลายอย่างรุนแรงแล้วอาการจึงจะปรากฏ ส่วนมากจะปรากฏหลังจากที่ได้รับการติดเชื้อไปแล้วประมาณ 10 ปี ซึ่งอาการที่พบได้มีดังต่อไปนี้

  • รู้สึกเหนื่อยตลอดเวลา
  • มีอาการปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อ
  • รู้สึกป่วย ไม่สบาย เป็นไข้
  • มีปัญหาเกี่ยวกับความจำในระยะสั้น สมาธิ และความคิดไม่แจ่มใส
  • อารมณ์แปรปรวน
  • ภาวะซึมเศร้า หรือวิตกกังวล
  • อาการอาหารไม่ย่อย หรือท้องอืด
  • น้ำหนักลด
  • ปวดช่องท้อง
  • ปัสสาวะมีสีเข้ม
  • ผื่นคันตามผิวหนัง
  • เลือดออกง่ายและเกิดรอยช้ำ
  • มีการบวมที่ขา

ในระยะเรื้อรังนี้ หากไม่ได้รับการรักษา การติดเชื้อสามารถทำให้เกิดโรคตับที่รุนแรงได้ เช่น ตับแข็ง โดยสัญญาณและอาการของตับแข็ง ได้แก่ ตัวเหลืองตาเหลือง (ดีซ่าน) หรือภาวะมีน้ำในช่องท้อง (ท้องมาน)  หากสงสัย ควรไปพบแพทย์เพื่อวินัจฉัยโรคและทำการรักษาต่อไป

สาเหตุของไวรัสตับอักเสบ ซี

 โดยส่วนใหญ่ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้จะมีการติดเชื้อจากทางเลือด เช่น ได้รับเลือดก่อนปีพ.ศ. 2535 เพราะว่าในช่วงนั้นประเทศไทยยังไม่สามารถคัดกรองเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี ได้ดีพอ การเสพยาเสพติดด้วยการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน มีคู่นอนหลายคน ในกรณีนี้จะมีความเสี่ยงในการติดเชื้อได้น้อยกว่าการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายและชาย ซึ่งจะมีความเสี่ยงสูงมากกว่า รวมถึงผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีจะมีความเสี่ยงในการติดเชื้อได้ง่าย รวมไปถึงสาเหตุอื่น ๆ เช่น การเจาะหูหรือสักลายตามร่างกายโดยใช้เครื่องมือที่ไม่ได้ฆ่าเชื้อให้ถูกต้อง แม้กระทั่งการใช้แปรงสีฟัน กรรไกร หรือที่ตัดเล็บร่วมกับผู้อื่น ก็เพิ่มโอกาสในการได้รับเชื้อได้มากขึ้น สำหรับสาเหตุที่มาจากแม่ตั้งครรภ์สู่ลูกนั้น พบว่ามีโอกาสเป็นไปได้แต่ว่าน้อยมาก

     อย่างไรก็ตาม เชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี ไม่ติดต่อทางการรับประทานอาหารร่วมกัน การใช้จามชามช้อนส้อมด้วยกัน การให้นมบุตร การกอด หรือการจูบ ร่วมถึงไม่ติดต่อผ่านการสัมผัส หรือไอ จาม รดกัน

การวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบ ซี 
     หากคิดว่ามีโอกาสได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี ควรรีบพบแพทย์ โดยจะทำการวินิจฉัยด้วยการตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อ หากพบว่ามีเชื้อ แพทย์ก็จะให้ทำการตรวจเลือดในขั้นต่อไป คือ ตรวจเลือดหาปริมาณไวรัสในเลือด (Viral Load) และตรวจหาสายพันธ์ุของไวรัส ซึ่งจะช่วยให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสามารถหาทางรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมให้กับผู้ป่วยได้

การรักษาไวรัสตับอักเสบ ซี 
     การรักษาไวรัสตับอักเสบ ซี อาจทำให้หายขาดได้ด้วยยา ทั้งการฉีดยาร่วมกับยารับประทาน โดยแพทย์จะพิจารณาตามข้อบ่งชี้ พยาธิสภาพที่ตับ และลักษณะของผู้ป่วย ก่อนให้การรักษาพยาบาลต่อไป

     หากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเพียงระยะเริ่มแรกหรือระยะเฉียบพลัน การรักษาอาจไม่จำเป็นต้องเริ่มในทันที เพราะร่างกายอาจกำจัดเชื้อไวรัสไปได้เอง ซึ่งจะมีการตรวจเลือดเพื่อตรวจสอบความเป็นไปของโรค แต่หากโรคดำเนินไปเป็นระยะเวลานานหลายเดือน หรือที่เรียกว่าไวรัสตับอักเสบ ซี ระยะเรื้อรัง จึงมีความจำเป็นที่จะต้องทำการรักษา การรักษาจะได้ผลแตกต่างกันออกไป โดยจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ และลักษณะทางพันธุกรรมของผู้ป่วย

ภาวะแทรกซ้อนของไวรัสตับอักเสบ ซี

     การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี ที่เป็นอย่างต่อเนื่องนานหลายปี หรือป่วยเป็นตับอักเสบเรื้อรังที่เกิดจากไวรัสตับอักเสบ ซี สามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนของไวรัสตับอักเสบ ซีได้ เช่น

  • ตับแข็ง (Cirrhosis) มักเกิดหลังจากที่มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี มาแล้ว 20-30 ปี โดยตับจะเกิดการอักเสบและถูกทำลายจนทำให้ตับไม่สามารถทำงานได้ปกติ
  • มะเร็งตับ (Liver Cancer) มีผู้ป่วยจำนวนไม่มากที่มีการอักเสบของตับที่เกิดจากไวรัสตับอักเสบ ซี แล้วจะพัฒนาเป็นมะเร็งตับ แต่ในผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องก็มีโอกาสเกิดมะเร็งตับได้
  • ตับวาย (Liver Failure) หากเป็นตับแข็งที่มีความรุนแรงมากแล้วอาจทำให้ตับหยุดการทำงานได้

การป้องกันไวรัสตับอักเสบ ซี

     ไวรัสตับอักเสบ ซี ไม่มีวัคซีนป้องกันเหมือนกับไวรัสตับอีกเสบ เอ และบี แต่สามารถป้องกันตัวเองจากไวรัสตับอักเสบ ซี ได้ง่าย ๆ โดยที่สำคัญมี 3 สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงและระมัดระวัง ได้แก่

  • อย่าใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ที่ติดยาเสพติดที่ใช้ฉีดเข้าเส้น เพราะมีความเสี่ยงสูงมากที่จะได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี รวมไปถึงโรคร้ายอื่น ๆ ที่ร้ายแรงกว่า
  • ให้ระมัดระวังในการเจาะหูหรือสักตามร่างกาย หากเลือกแล้วที่จะทำ ก็ควรเลือกร้านที่ไว้ใจได้ มีการทำความสะอาดและฆ่าเชื้ออุปกรณ์อย่างถูกหลักอนามัย โดยเฉพาะเข็มที่ใช้ต้องผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว
  • อย่าเสี่ยงกับการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน โดยเฉพาะการมีคู่นอนหลายคน หรือคู่นอนที่ไม่รู้และไม่แน่ใจเกี่ยวกับสุขภาพของเขา ทำให้มีโอกาสเสี่ยงในการรับเชื้อมากขึ้น

    นอกจากนั้น ควรหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ตามที่ได้กล่าวไป รวมไปถึงลดหรือเลิกการดื่มแอลกอฮอล์ และดูแลสุขภาพจากการรับประทานหรือการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่แข็งแรง

ที่มา : https://www.pobpad.com/ไวรัสตับอักเสบ-ซี

ตับเป็นอวัยวะสำคัญในการจัดการสารอาหาร, กรองของเสียในเลือด, และช่วยต่อสู้กับภาวะติดเชื้อ ภาวะตับอักเสบจึงอาจทำให้การ ทำงานของตับบกพร่องได้ การอักเสบของตับอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ไวรัสตับอักเสบ, การดื่มแอลกอฮอลล์, สารพิษ, ยาบางชนิด, หรือโรค ทางกายบางอย่างที่มีภาวะตับอักเสบร่วมด้วย

ไวรัสตับอักเสบซีสามารถทำให้เกิดโรคตับที่รุนแรงและเรื้อรังได้ การติดเชื้อแบ่งเป็นแบบเฉียบพลัน (acute infection) ซึ่งเกิดขึ้นภายในหกเดือนแรกหลังได้รับเชื้อ และแบบเรื้อรัง (chronic infection) ซึ่งสามารถนำไปสู่ภาวะตับแข็ง, ภาวะตับวาย, และมะเร็งตับ

ไวรัสตับอักเสบซีสามารถติดต่อได้หลายวิธีช่องทาง กล่าวคือ

  1. เพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน
  2. การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
  3. ติดต่อผ่านจากแม่สู่ลูกในช่วงแรกคลอด
  4. การสักหรือเจาะ (piercing) ที่ไม่สะอาด
  5. การได้รับเลือด
  6. การปลูกถ่ายอวัยวะ

คนไข้ส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีมักไม่แสดงอาการและมักจะไม่รู้ตัวเองว่าติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ เมื่อมีอาการ คนไข้อาจรู้สึก อ่อนเพลีย, มีไข้, เบื่ออาหาร, คลื่นไส้, อาเจียน, ปัสสาวะสีเหลืองเข้ม, อุจจาระสีซีด, และอาจจะมีอาการตาเหลือง ตัวเหลืองร่วมด้วย

การวินิจฉัยภาวะติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ทำได้โดยการตรวจเลือดหาแอนติบอดี้ต่อไวรัส (Hepatitis C antibody) และถ้าการตรวจ แอนตีบอดี้ให้ผลบวกจึงควรตรวจยืนยันด้วยการหาปริมาณไวรัสในเลือด (​Hepatitis C viral load)

การรักษาไวรัสตับอักเสบซีขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ยาต้านไวรัสสำหรับไวรัสตับอักเสบซีได้มีการพัฒนาไปอย่างมากในปัจจุบันจน สามารถรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้ ดังนั้นคนไข้จึงควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการรักษาไวรัสชนิดนี้ เพื่อให้เข้าใจถึงทาง เลือกในการรักษาที่เหมาะสมกับตัวเอง

ในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนสำหรับไวรัสตับอักเสบซี ดังนั้นคำแนะนำสำหรับการปฏิบัติตัวเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี จึงประกอบด้วย

  1. หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
  2. หลีกเลี่ยงการใช้ข้าวของส่วนตัวร่วมกับผู้มีเชื้อไวรัส เช่น มีดโกน, แปรงสีฟัน, และกรรไกรตัดเล็บ
  3. หลีกเลี่ยงการสักหรือเจาะอวัยวะของร่างกาย (piercing) ในสถานที่ที่ไม่มีมาตรฐาน
  4. หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกันกับผู้ที่มีเชื้อไวรัส
Make Appointment

Relate content :

ยาต้าน HIV: ก้าวสำคัญสู่ชีวิตที่มีคุณภาพ

ยาต้าน HIV: ก้าวสำคัญสู่ชีวิตที่มีคุณภาพ ยาต้าน HIV หรือยาต้านไวรัสเอชไอวี คือกลุ่มยาที่ใช้ในการรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวี ยาเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสเอชไอวีในร่างกาย ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น และช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อน ทำไมต้องใช้ยาต้าน HIV ยาต้าน HIV ทำงานอย่างไร ยาต้าน HIV ทำงานโดยการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่ไวรัสเอชไอวีต้องการในการเพิ่มจำนวนตัวเอง เมื่อไวรัสไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะสามารถต่อสู้กับเชื้อได้ดีขึ้น ประเภทของยาต้าน HIV การเลือกใช้ยาต้าน HIV การเลือกใช้ยาต้าน HIV ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น: การใช้ยาต้าน HIV ร่วมกับยาอื่นๆ ยาต้าน HIV บางชนิดอาจมีปฏิกิริยากับยาอื่นๆ ที่ผู้ป่วยกำลังรับประทานอยู่ ดังนั้นจึงควรแจ้งให้แพทย์ทราบถึงยาที่กำลังรับประทานอยู่ทั้งหมดก่อนเริ่มรับประทานยาต้าน HIV ผลข้างเคียงของยาต้าน HIV ยาต้าน HIV อาจมีผลข้างเคียงบ้าง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัว หรือปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ แต่ผลข้างเคียงเหล่านี้มักจะหายไปเอง หรือสามารถบรรเทาได้ด้วยการปรับเปลี่ยนขนาดยาหรือเปลี่ยนชนิดยา การใช้ยาต้าน HIV ชีวิตหลังการเริ่มใช้ยาต้าน HIV การใช้ยาต้าน HIV…

โรคหนองใน: ภัยเงียบที่คุณไม่ควรเพิกเฉย

โรคหนองใน (Gonorrhea) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากแบคทีเรีย Neisseria gonorrhoeae ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่ออวัยวะเพศ ช่องคลอด ท่อปัสสาวะ และทวารหนัก

ตรวจ HIV: ก้าวแรกสู่สุขภาพที่ดี

HIV หรือ Human Immunodeficiency Virus เป็นไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายอ่อนแอต่อโรคติดเชื้อต่าง ๆ การตรวจ HIV เป็นวิธีที่ง่ายและไม่เจ็บปวด สามารถช่วยให้คุณรู้สถานะสุขภาพของคุณได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ทำไมต้องตรวจ HIV? วิธีการตรวจ HIV ผลการตรวจ HIV หากผลการตรวจ HIV เป็นบวก การรู้ว่าผลการตรวจ HIV เป็นบวก อาจเป็นเรื่องที่น่าตกใจ แต่ขอให้คุณรู้ว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียว และมีทางออกเสมอ การได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและเริ่มการรักษาอย่างทันท่วงทีเป็นสิ่งสำคัญที่สุด สามารถช่วยให้ผู้ติดเชื้อ HIV มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและยืดอายุขัยได้ เมื่อได้รับผลตรวจ HIV เป็นบวก คุณควร: การรักษา HIV ปัจจุบันมียาต้านไวรัส HIV ที่สามารถช่วยให้ผู้ติดเชื้อ HIV มีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพได้ ยาต้านไวรัส HIV จะช่วยลดปริมาณไวรัสในร่างกาย ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อน ชีวิตหลังการตรวจพบ HIV การใช้ชีวิตกับ HIV อาจเป็นเรื่องท้าทาย แต่ด้วยการรักษาที่เหมาะสมและการดูแลสุขภาพที่ดี คุณสามารถมีชีวิตที่ปกติได้ การดูแลสุขภาพที่ดีสำหรับผู้ติดเชื้อ…

ฉีดวัคซีนงูสวัดที่ glove clinic

งูสวัดคือไวรัสชนิดหนึ่ง (Herpes zoster) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสตัวเดียวกันกับอีสุกอีใส (Varicella zoster) เมื่อเราติดเชื้อไวรัสอีสุกใสในวัยเด็กแล้ว ไวรัสสามารถที่จะหลบซ่อนได้ในร่างกายเป็นเวลานานหลายปี จนกระทั่งเมื่อร่างกายอ่อนแอ ไวรัสนั้นจึงออกมาทำให้เกิดอาการตุ่มน้ำใส ปวดแสบร้อนตามบริเวณที่เส้นประสาทต่าง ๆ ของร่างกายซึ่งเรียกกันว่างูสวัด . ไวรัสงูสวัดสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อของเส้นประสาทตำแหน่งต่าง ๆ ของร่างกาย โดยอาการของงูสวัดนั้น ผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดแสบร้อนนำมาก่อน โดยอาการดังกล่าวก็คืออาการเส้นประสาทอักเสบจากไวรัสงูสวัดนั่นเอง . หลังจากอาการปวดแสบร้อน ก็จะมีตุ่มน้ำใสขึ้นตรงบริเวณที่ปวด ระยะนี้เชื้อสามารถแพร่กระจายให้ผู้อื่นได้ โดยถ้าผู้ป่วยได้รับยาต้านไวรัสทันเวลา ก็จะทำให้ตุ่มน้ำขึ้นไม่มาก และสามารถลดระยะเวลาของอาการปวดได้อีกด้วย โดยอาการปวดเส้นประสาทหลังติดเชื้อไวรัสงูสวัดนั้นสามารถเป็นเรื้อรัง และจำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวดปลายประสาทในการรักษาเป็นเวลานานจนกว่าอาการจะดีขึ้นได้ . วัคซีนงูสวัด (Shingrix) สามารถป้องกันการเกิดโรคงูสวัดได้เป็นอย่างดี รวมถึงสามารถป้องกันการปวดปลายประสาทที่เกิดหลังการติดเชื้องูสวัดได้อีกด้วย โดยประสิทธิภาพในการป้องกันโรคของวัคซีนงูสวัด (Shingrix) นั้นสูงอย่างน้อย 90 % และระดับภูมิคุ้มกันต่องูสวัดหลังฉีดวัคซีนจะอยู่ไปนานอย่างน้อย 7 ปีหลังจากที่ฉีด . คำแนะนำสำหรับบุคคลทั่วไป แนะนำให้ฉีดวัคซีนงูสวัด (Shingrix) ได้ตั้งแต่เมื่ออายุ 50 ปีขึ้นไป นอกจากนั้นยังแนะนำให้ฉีดวัคซีนงูสวัด (Shingrix) ในกลุ่มคนอายุตั้งแต่ 19 ปีขึ้นไปและมีโรคเรื้อรังที่อาจทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่องและติดเชื้อได้ง่าย โดยการฉีดวัคซีนงูสวัด…

ทอนซิลอักเสบจากเริม

ทอนซิลอักเสบจากเริม เริมหรือ herpes simplex เป็นไวรัสที่ติดต่อได้จากการการสัมผัสสิ่งคัดหลั่งที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส ซึ่งโดยทั่วไปผู้ที่มีเชื้อเริมมักจะไม่มีอาการ และไม่รู้ว่าตัวเองมีเชื้อ และอาจมีตุ่มน้ำใสแตกเป็นแผลเวลาที่ร่างกายอ่อนแอ อาการที่พบบ่อยคือตุ่มน้ำมาที่บริเวณริมฝีปาก หรือที่บริเวณอวัยวะเพศ.โดยในรายที่รับเชื้อเริมจากออรัลเซ็กส์ ก็อาจจะทำให้เกิดแผลที่ทอนซิล มีอาการเหมือนทอนซิลอักเสบจนเป็นหนองได้ ตัวอย่างทอนซิลในภาพนี้ ผู้ป่วยเริ่มมีอาการไข้และเจ็บคอมากหลังจากมีเพศสัมพันธ์มา 4-5 วัน โดยได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะจากหมอหูคอจมูกมาหนึ่งสัปดาห์แล้วแต่อาการยังไม่ดีขึ้น จึงได้มา swab PCR หาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ glove clinic ผลตรวจพบเชื้อ Herpes simplex virus type 2.เชื้อเริมสามารถรักษาได้ด้วยยาต้านไวรัส ในรายนี้หลังกินยาต้านไวรัสแล้วพบว่าหนองที่คอลดลงอย่างรวดเร็วหลังกินยาไปเพียง 2-3 วัน (ดังภาพ) รวมทั้งอาการเจ็บคอดีขึ้นมากเป็นลำดับ.การตรวจ PCR หาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นการตรวจที่แม่นยำ และสามารถตรวจหาเชื้อก่อโรคได้หลายเชื้อในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นหนองในแท้, หนองในเทียม, เริม, รวมถึงเชื้อแบคทีเรียอื่น ๆ โดยการตรวจใช้เวลา 1-2 วันจึงจะได้ผล และสามารถตรวจได้แม้จะไม่มีอาการก็ตาม สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 092-414-9254 หรือ Line Official @gloveclinic (มีแอดข้างหน้า)

ตรวจ HIV รีวิวความรู้สำหรับการตรวจเอชไอวี (HIV test)

เอชไอวีคือไวรัสที่สามารถติดต่อได้จากการมีเพศสัมพันธ์, การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน, และการติดจากแม่สู่ลูก เมื่อติดเชื้อไวรัส HIV ไวรัสจะทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง และติดเชื้อโรคอื่น ๆ ได้ง่าย

Tag :

We use cookies to improve performance. and good experience using your website. You can study details at Privacy Policy and can manage your own privacy by clicking on Settings

Privacy Preferences

You can choose your cookie settings by turning them on/off. Cookies of each type are available on request, except essential cookies.

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Strictly necessary cookies
    Always Active

    These types of cookies are essential for the website to function. so that you can use it normally and visit the website You cannot disable cookies in our website system.

  • คุกกี้ที่จำเป็น

    These types of cookies are essential for the website to function. so that you can use it normally and visit the website You cannot disable cookies in our website system.

Save