294/1 Asia Building (11th Floor), Phyathai, Bangkok

อาการของเอดส์เป็นอย่างไร ทำความรู้จักกับเอดส์

เอดส์ คืออะไร

แท้จริงแล้วเอดส์ไม่ใช่โรค หากแต่คือระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ HIV ซึ่ง HIV นั่นเองคือไวรัสที่ทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเซลล์หลักที่ถูกเล่นงานโดยไวรัสก็คือเม็ดเลือดขาว CD4 ซึ่งเป็นเซลล์ที่บัญชาการระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งเอดส์ในภาษาอังกฤษก็คือ AIDS ย่อมาจาก Acquired immunodeficiency syndrome

กำเนิดของการเรียกชื่อว่าเอดส์

เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1981 ในวารสารของกรมควบคุมโรค ประเทศสหรัฐอเมริกาได้รายงานว่ามีเกย์หนุ่ม 5 คนมีอาการปอดอักเสบจากเชื้อรา และได้รับการรักษาในโรงพยาบาลที่ Los Angeles โดย 2 รายเสียชีวิต และนอกจากนี้ทั้ง 5 คนยังพบการติดเชื้อไวรัส CMV และมีเชื้อราในช่องปากร่วมด้วย ซึ่งเชื้อต่าง ๆ ที่เล่ามานั้นมักเจอในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ในขณะนั้นโลกยังไม่ได้รู้จักกับไวรัส HIV ว่าเป็นสาเหตุตั้งต้นของสิ่งที่เกิดขึ้น การเรียกภาวะนี้ในยุคแรกจึงได้เรียกว่า AIDS หรือ “เอดส์” ซึ่งย่อมาจาก acquired immunodeficiency syndrome

อาการของเอดส์แตกต่างกับ HIV ยังไง

เอดส์คือชื่อระยะที่ 3 หรือระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ HIV โดยทั่วไปเราแบ่งการติดเชื้อ HIV เป็น 3 ระยะซึ่ง ระยะแรกมักเกิดขึ้นใน 2-4 สัปดาห์แรกหลังได้รับเชื้อ ซึ่งคนไข้อาจมีอาการเจ็บคอ, มีไข้, ปวดเมื่อยตัว, หรืออาจมีผื่นร่วมด้วย ระยะที่ 2 เรามักเรียกว่าระยะไม่มีอาการ เนื่องจากเป็นระยะที่เชื้อไวรัสหลบซ่อนอยู่ในร่างกายและภูมิคุ้มกันยังไม่มีปัญหา จนมาถึงระยะที่ 3 ที่เราเรียกกันว่า “เอดส์” ซึ่งเป็นระยะภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาจจะเริ่มมีอาการของเอดส์ได้บ้างหลังจากที่ภูมิคุ้มกันเริ่มตกลง (ค่า CD4 ต่ำกว่า 350) และอาการชัดเจนมากขึ้นเมื่อ CD4 ต่ำกว่า 200 ซึ่งเมื่อภูมิคุ้มกันอ่อนแอจากระยะเอดส์ ร่างกายก็ไวต่อการติดเชื้อฉวยโอกาสหรือที่เรียกว่า opportunistic infection และถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง โรคอาจดำเนินไปอย่างรวดเร็วจนผู้อยู่ร่วมกับเชื้อเสียชีวิตได้ในระยะเวลาไม่กี่เดือน

อาการของเอดส์มีอะไรบ้าง

เนื่องจากอาการของเอดส์ค่อนข้างที่จะหลากหลาย และมักขึ้นอยู่กับโรคติดเชื้อฉวยโอกาสที่พบร่วมด้วย ในระยะเอดส์เป็นระยะที่ไวรัสเพิ่มจำนวนในร่างกายมากขึ้น โดยการเพิ่มจำนวนของไวรัสเองนั้นก็อาจจะทำให้ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อรู้สึกอ่อนเพลีย, มีไข้เรื้อรัง, ต่อมนำ้เหลืองโตขึ้น, รวมถึงท้องเสียเป็น ๆ หาย ๆ บางรายอาจมีผื่นคล้ายตุ่มยุงกัดเป็น ๆ หาย ๆ ตามแขนขา ซึ่งเป็นอาการที่เจอบ่อยในคนไทย

ส่วนโรคติดเชื้อฉวยโอกาสที่เราพบบ่อยในระยะเอดส์นั้นก็คือวัณโรค ซึ่งอาการของวัณโรคปอดก็คือไอเรื้อรัง ในรายที่ภูมิคุ้มกันบกพร่องมากขึ้นก็อาจจะพบไข้เรื้อรัง, เบื่ออาหารและน้ำหนักลดร่วมด้วย อีกโรคที่บ่งบอกถึงปัญหาของภูมิคุ้มกันก็คืองูสวัด ซึ่งมีอาการนำมาด้วยตุ่มน้ำตามบริเวณต่าง ๆ โดยมักมีอาการแสบร้อนที่ตุ่มน้ำนำมาก่อน

โรคติดเชื้อต่อมาที่พบได้บ่อยเมื่อภูมิคุ้มกันบกพร่องก็คือเชื้อราในช่องปาก ซึ่งคนไข้มักจะเข้ามาตรวจด้วยฝ้าในปากเป็น ๆ หาย ๆ หลายครั้งที่คนไข้เองไม่รู้ตัวด้วยซ้ำเพราะไม่ได้ส่องดูในช่องปาก บางรายก็อาจจะมีแผลที่มุมปาก ทำให้วินิจฉัยผิดไปว่าเป็นปากนกกระจอก ทั้งที่จริง ๆ แล้วสาเหตุคือเชื้อรากลุ่ม candida

นอกจากนี้เมื่อภูมิคุ้มกันบกพร่องมากขึ้น ร่างกายจะไวต่อเชื้อราชนิดที่ทำให้เกิดปอดอักเสบได้ซึ่งอาการอาจจะไม่ต่างจากปอดอักเสบจากโควิดที่เราเจอในปัจจุบัน แปลว่าผู้อยู่ร่วมกับเชื้อจะมีไอแห้ง ๆ, เหนื่อยง่าย, ค่าออกซิเจนปลายนิ้วต่ำผิดปกติ

อาการเริ่มต้นของโรคเอดส์สังเกตจากอะไรได้บ้าง

เมื่อภูมิคุ้มกันเริ่มตกลงจนเข้าสู่ระยะเอดส์ ร่างกายจะอ่อนแอลงเนื่องจากไวรัสมีจำนวนมากขึ้นและเซลล์ CD4 ที่ควบคุมภูมิคุ้นกันในร่างกายมีปริมาณลดลง โดยอาจสังเกตได้ว่ามีอาการไอเรื้อรัง, ไข้เป็น ๆ หาย ๆ, ท้องเสียเป็น ๆ หาย ๆ, รวมถึงน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ โดยบางรายอาจจะพบต่อมน้ำเหลืองโต รวมทั้งตุ่มยุงกัดตามแขนขาร่วมด้วย

ตรวจเอดส์ต้องทำยังไงบ้าง

เมื่อสงสัยว่ามีอาการของเอดส์แล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือการตรวจเลือดหาเชื้อ HIV เพื่อคอนเฟิร์มว่ามีการติดเชื้อ HIV จริงหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ก็ควรต้องตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุอื่น ๆ

ถ้าผลเลือดบ่งชี้ว่ามีการติดเชื้อ HIV จริง ก็จะมีการตรวจเพิ่มเติมเพื่อประเมินภูมิคุ้มกัน (CD4) และปริมาณไวรัส (HIV viral load) นอกจากนี้ยังต้องมีการตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เช่น ซิฟิลิส, ไวรัสตับอักเสบ เป็นต้น การตรวจหาโรคติดเชื้อฉวยโอกาสนั้นเราสามารถประเมินได้ด้วยการตรวจเลือดหาเชื้อราหรือเชื้อไวรัสบางชนิด และเอกซ์เรย์ปอดเพื่อมองหาวัณโรค

เอดส์รักษาได้แต่ไม่หายขาด

เนื่องจากเอดส์เกิดจากการติดเชื้อ HIV การรักษาหลักก็คือการเริ่มยาต้านไวรัส HIV ซึ่งวิวัฒนาการของยาต้านไวรัส HIV จากอดีตจนถึงปัจจุบันมายาวนานกว่า 30 ปี จนทำให้ยาต้านไวรัสเดี๋ยวนี้แทบจะไม่มีผลข้างเคียงต่อร่างกายเหมือนยาที่ใช้ 10-20 ปีก่อน นอกจากนี้ยังกินแค่เม็ดเดียววันละครั้ง ไม่ได้กินครั้งละหลายเม็ดหรือในอดีต ทำให้สะดวกต่อการกินยา หลังจากได้รับยาต้านไวรัสจนเมื่อไวรัสตรวจไม่พบในเลือด หรือที่เรียกว่า undetectable ภูมิคุ้มกันจะเริ่มแข็งแรงขึ้น และเสี่ยงต่อการติดเชื้อน้อยลง

การรักษาของโรคติดเชื้อฉวยโอกาสที่พบร่วมกับระยะเอดส์ก็จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านไวรัสเฉพาะที่เหมาะสมกับแต่ละปัญหาของผู้อยู่ร่วมกับเชื้อ ซึ่งมีความยากง่ายต่างกันไปขึ้นอยู่กับความรุนแรงของแต่ละเชื้อ และภูมิคุ้มกันของแต่ละคน

ปรึกษาและรับการรักษาเอดส์ ได้ที่ Glove Clicnic

สรุปอาการของเอดส์

เอดส์เป็นระยะที่ 3 ของการติดเชื้อ HIV ซึ่งเกิดเมือภูมิคุ้มกันบกพร่องจนทำให้ร่างกายไวต่อการติดเชื้อฉวยโอกาสนานาชนิด อาการของเอดส์จึงค่อนข้างหลากหลายขึ้นอยู่กับเชื้อฉวยโอกาสชนิดนั้น ๆ ดังนั้นการตรวจแต่เนิ่น ๆ เมื่อสงสัยว่าอาจเป็นอาการของเอดส์จึงนำไปการสู่การรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อได้รับยาต้านไวรัสก็จะทำให้ผู้อยู่ร่วมกับเชื้อสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้ ในทางกลับกัน หากปล่อยทิ้งไว้และไม่ได้รับการรักษาในระยะอันเหมาะสมก็อาจทำให้เสียชีวิตได้

Make Appointment

Relate content :

ยาต้าน HIV: ก้าวสำคัญสู่ชีวิตที่มีคุณภาพ

ยาต้าน HIV: ก้าวสำคัญสู่ชีวิตที่มีคุณภาพ ยาต้าน HIV หรือยาต้านไวรัสเอชไอวี คือกลุ่มยาที่ใช้ในการรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวี ยาเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสเอชไอวีในร่างกาย ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น และช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อน ทำไมต้องใช้ยาต้าน HIV ยาต้าน HIV ทำงานอย่างไร ยาต้าน HIV ทำงานโดยการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่ไวรัสเอชไอวีต้องการในการเพิ่มจำนวนตัวเอง เมื่อไวรัสไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะสามารถต่อสู้กับเชื้อได้ดีขึ้น ประเภทของยาต้าน HIV การเลือกใช้ยาต้าน HIV การเลือกใช้ยาต้าน HIV ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น: การใช้ยาต้าน HIV ร่วมกับยาอื่นๆ ยาต้าน HIV บางชนิดอาจมีปฏิกิริยากับยาอื่นๆ ที่ผู้ป่วยกำลังรับประทานอยู่ ดังนั้นจึงควรแจ้งให้แพทย์ทราบถึงยาที่กำลังรับประทานอยู่ทั้งหมดก่อนเริ่มรับประทานยาต้าน HIV ผลข้างเคียงของยาต้าน HIV ยาต้าน HIV อาจมีผลข้างเคียงบ้าง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัว หรือปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ แต่ผลข้างเคียงเหล่านี้มักจะหายไปเอง หรือสามารถบรรเทาได้ด้วยการปรับเปลี่ยนขนาดยาหรือเปลี่ยนชนิดยา การใช้ยาต้าน HIV ชีวิตหลังการเริ่มใช้ยาต้าน HIV การใช้ยาต้าน HIV…

โรคหนองใน: ภัยเงียบที่คุณไม่ควรเพิกเฉย

โรคหนองใน (Gonorrhea) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากแบคทีเรีย Neisseria gonorrhoeae ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่ออวัยวะเพศ ช่องคลอด ท่อปัสสาวะ และทวารหนัก

ตรวจ HIV: ก้าวแรกสู่สุขภาพที่ดี

HIV หรือ Human Immunodeficiency Virus เป็นไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายอ่อนแอต่อโรคติดเชื้อต่าง ๆ การตรวจ HIV เป็นวิธีที่ง่ายและไม่เจ็บปวด สามารถช่วยให้คุณรู้สถานะสุขภาพของคุณได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ทำไมต้องตรวจ HIV? วิธีการตรวจ HIV ผลการตรวจ HIV หากผลการตรวจ HIV เป็นบวก การรู้ว่าผลการตรวจ HIV เป็นบวก อาจเป็นเรื่องที่น่าตกใจ แต่ขอให้คุณรู้ว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียว และมีทางออกเสมอ การได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและเริ่มการรักษาอย่างทันท่วงทีเป็นสิ่งสำคัญที่สุด สามารถช่วยให้ผู้ติดเชื้อ HIV มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและยืดอายุขัยได้ เมื่อได้รับผลตรวจ HIV เป็นบวก คุณควร: การรักษา HIV ปัจจุบันมียาต้านไวรัส HIV ที่สามารถช่วยให้ผู้ติดเชื้อ HIV มีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพได้ ยาต้านไวรัส HIV จะช่วยลดปริมาณไวรัสในร่างกาย ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อน ชีวิตหลังการตรวจพบ HIV การใช้ชีวิตกับ HIV อาจเป็นเรื่องท้าทาย แต่ด้วยการรักษาที่เหมาะสมและการดูแลสุขภาพที่ดี คุณสามารถมีชีวิตที่ปกติได้ การดูแลสุขภาพที่ดีสำหรับผู้ติดเชื้อ…

ฉีดวัคซีนงูสวัดที่ glove clinic

งูสวัดคือไวรัสชนิดหนึ่ง (Herpes zoster) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสตัวเดียวกันกับอีสุกอีใส (Varicella zoster) เมื่อเราติดเชื้อไวรัสอีสุกใสในวัยเด็กแล้ว ไวรัสสามารถที่จะหลบซ่อนได้ในร่างกายเป็นเวลานานหลายปี จนกระทั่งเมื่อร่างกายอ่อนแอ ไวรัสนั้นจึงออกมาทำให้เกิดอาการตุ่มน้ำใส ปวดแสบร้อนตามบริเวณที่เส้นประสาทต่าง ๆ ของร่างกายซึ่งเรียกกันว่างูสวัด . ไวรัสงูสวัดสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อของเส้นประสาทตำแหน่งต่าง ๆ ของร่างกาย โดยอาการของงูสวัดนั้น ผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดแสบร้อนนำมาก่อน โดยอาการดังกล่าวก็คืออาการเส้นประสาทอักเสบจากไวรัสงูสวัดนั่นเอง . หลังจากอาการปวดแสบร้อน ก็จะมีตุ่มน้ำใสขึ้นตรงบริเวณที่ปวด ระยะนี้เชื้อสามารถแพร่กระจายให้ผู้อื่นได้ โดยถ้าผู้ป่วยได้รับยาต้านไวรัสทันเวลา ก็จะทำให้ตุ่มน้ำขึ้นไม่มาก และสามารถลดระยะเวลาของอาการปวดได้อีกด้วย โดยอาการปวดเส้นประสาทหลังติดเชื้อไวรัสงูสวัดนั้นสามารถเป็นเรื้อรัง และจำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวดปลายประสาทในการรักษาเป็นเวลานานจนกว่าอาการจะดีขึ้นได้ . วัคซีนงูสวัด (Shingrix) สามารถป้องกันการเกิดโรคงูสวัดได้เป็นอย่างดี รวมถึงสามารถป้องกันการปวดปลายประสาทที่เกิดหลังการติดเชื้องูสวัดได้อีกด้วย โดยประสิทธิภาพในการป้องกันโรคของวัคซีนงูสวัด (Shingrix) นั้นสูงอย่างน้อย 90 % และระดับภูมิคุ้มกันต่องูสวัดหลังฉีดวัคซีนจะอยู่ไปนานอย่างน้อย 7 ปีหลังจากที่ฉีด . คำแนะนำสำหรับบุคคลทั่วไป แนะนำให้ฉีดวัคซีนงูสวัด (Shingrix) ได้ตั้งแต่เมื่ออายุ 50 ปีขึ้นไป นอกจากนั้นยังแนะนำให้ฉีดวัคซีนงูสวัด (Shingrix) ในกลุ่มคนอายุตั้งแต่ 19 ปีขึ้นไปและมีโรคเรื้อรังที่อาจทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่องและติดเชื้อได้ง่าย โดยการฉีดวัคซีนงูสวัด…

ทอนซิลอักเสบจากเริม

ทอนซิลอักเสบจากเริม เริมหรือ herpes simplex เป็นไวรัสที่ติดต่อได้จากการการสัมผัสสิ่งคัดหลั่งที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส ซึ่งโดยทั่วไปผู้ที่มีเชื้อเริมมักจะไม่มีอาการ และไม่รู้ว่าตัวเองมีเชื้อ และอาจมีตุ่มน้ำใสแตกเป็นแผลเวลาที่ร่างกายอ่อนแอ อาการที่พบบ่อยคือตุ่มน้ำมาที่บริเวณริมฝีปาก หรือที่บริเวณอวัยวะเพศ.โดยในรายที่รับเชื้อเริมจากออรัลเซ็กส์ ก็อาจจะทำให้เกิดแผลที่ทอนซิล มีอาการเหมือนทอนซิลอักเสบจนเป็นหนองได้ ตัวอย่างทอนซิลในภาพนี้ ผู้ป่วยเริ่มมีอาการไข้และเจ็บคอมากหลังจากมีเพศสัมพันธ์มา 4-5 วัน โดยได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะจากหมอหูคอจมูกมาหนึ่งสัปดาห์แล้วแต่อาการยังไม่ดีขึ้น จึงได้มา swab PCR หาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ glove clinic ผลตรวจพบเชื้อ Herpes simplex virus type 2.เชื้อเริมสามารถรักษาได้ด้วยยาต้านไวรัส ในรายนี้หลังกินยาต้านไวรัสแล้วพบว่าหนองที่คอลดลงอย่างรวดเร็วหลังกินยาไปเพียง 2-3 วัน (ดังภาพ) รวมทั้งอาการเจ็บคอดีขึ้นมากเป็นลำดับ.การตรวจ PCR หาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นการตรวจที่แม่นยำ และสามารถตรวจหาเชื้อก่อโรคได้หลายเชื้อในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นหนองในแท้, หนองในเทียม, เริม, รวมถึงเชื้อแบคทีเรียอื่น ๆ โดยการตรวจใช้เวลา 1-2 วันจึงจะได้ผล และสามารถตรวจได้แม้จะไม่มีอาการก็ตาม สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 092-414-9254 หรือ Line Official @gloveclinic (มีแอดข้างหน้า)

ตรวจ HIV รีวิวความรู้สำหรับการตรวจเอชไอวี (HIV test)

เอชไอวีคือไวรัสที่สามารถติดต่อได้จากการมีเพศสัมพันธ์, การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน, และการติดจากแม่สู่ลูก เมื่อติดเชื้อไวรัส HIV ไวรัสจะทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง และติดเชื้อโรคอื่น ๆ ได้ง่าย

Tag :

We use cookies to improve performance. and good experience using your website. You can study details at Privacy Policy and can manage your own privacy by clicking on Settings

Privacy Preferences

You can choose your cookie settings by turning them on/off. Cookies of each type are available on request, except essential cookies.

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Strictly necessary cookies
    Always Active

    These types of cookies are essential for the website to function. so that you can use it normally and visit the website You cannot disable cookies in our website system.

  • คุกกี้ที่จำเป็น

    These types of cookies are essential for the website to function. so that you can use it normally and visit the website You cannot disable cookies in our website system.

Save