294/1 Asia Building (11th Floor), Phyathai, Bangkok

ตรวจ HIV รีวิวความรู้สำหรับการตรวจเอชไอวี (HIV test)

เป็นเชื้อแบคทีเรียกลุ่มหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคหนองในเทียม

หนองในเทียม (Non-gonococcal urethritis – NGU) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อยเช่นเดียวกับโรคหนองในแท้ โดยจะมีอาการที่เกิดคล้ายกัน แต่จะไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อหนอง Neisseria gonorrhoeae (เชื้อหนองในแท้) กล่าวคือถ้าไม่ได้มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อหนองในแท้ก็จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มหนองในเทียมทั้งหมด โดยเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคหนองในเทียมก็มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด อาจเป็นเชื้อแบคเรีย เชื้อไวรัส โปรโตซัวหรือเชื้อราก็ได้ แต่ส่วนใหญ่มักเป็นเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า Chlamydia trachomatis (พบได้ประมาณ 40%) รองลงมาคือเชื้อ Ureaplasma urealyticum (พบได้ประมาณ 30%)

สาเหตุ

เชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคหนองในเทียมมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด โดยอาจจะเป็นเชื้อแบคเรีย เชื้อไวรัส โปรโตซัวหรือเชื้อราก็ได้ ซึ่งประมาณ 20% ของผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะไม่ทราบเชื้อที่เป็นต้นเหตุอย่างแน่ชัด, ประมาณ 40% จะเกิดจากเชื้อคลามัยเดียทราโคมาติส (Chlamydia trachomatis) ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรีย (เชื้อนี้มีพันธุ์ย่อยอีกหลายชนิด ซึ่งบางชนิดสามารถทำให้เป็นฝีมะม่วงได้), ประมาณ 30% เกิดจากเชื้อยูเรียพลาสมายูเรียไลทิคัม (Ureaplasma urealyticum) นอกจากนั้นยังอาจเกิดได้จากเชื้ออื่น ๆ เช่น เชื้อโปรโตซัวที่มีชื่อว่า ทริโคโมแนสวาจินาลิส (Trichomanas vaginalis), เชื้อไวรัสเริม เป็นต้น

มักเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ (โดยไม่สวมถุงยางอนามัยในขณะมีเพศสัมพันธ์) ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปาก ซึ่งรวมถึงการที่ผู้ชายมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย หรือผู้หญิงมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิง ก็สามารถทำให้ติดเชื้อหนองในเทียมได้เช่นกัน (เพราะเชื้อหนองในเทียมสามารถติดต่อได้ทางทวารหนัก หรือจากการที่อวัยวะเพศสัมผัสกัน) นอกจากนี้ยังอาจติดต่อจากแม่ไปสู่ลูกในขณะที่มีการคลอดปกติทางช่องคลอดได้อีกด้วย

กลุ่มเสี่ยง

ผู้ที่มีคู่นอนจำนวนมาก (ยิ่งมีคู่นอนมากเท่าไร โอกาสการติดเชื้อก็จะเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น), เด็กวัยรุ่นโดยเฉพาะผู้หญิงที่เยื่อบุปากมดลูกยังไม่มีการพัฒนาอย่างเต็มที่ (มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่ายขึ้นหากมีเพศสัมพันธ์ในช่วงเวลาดังกล่าว)

ระยะฟักตัวของโรค

หลังจากได้รับเชื้อมักจะแสดงอาการภายใน 1-2 สัปดาห์ หรือนานกว่านั้น

อาการ

  1. ในฝ่ายชาย ประมาณ 50% จะไม่มีอาการของโรคแสดงออกมา ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนั้นมักจะมีอาการเกิดขึ้นหลังการติดเชื้อประมาณ 1-4 สัปดาห์ โดยจะมีอาการแสบที่ปลายท่อปัสสาวะ ปัสสาวะขัด และมีหนองไหล ซึ่งจะมีลักษณะเป็นมูกใสหรือมูกขุ่น ๆ ไม่เป็นหนองข้นแบบหนองในแท้ และจะออกซึมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ออกมากแบบหนองในแท้ (ถ้าให้ผู้ป่วยถ่ายปัสสาวะลงในแก้วใส ๆ แล้วใช้ไฟฉายส่องดูจะเห็นเป็นเส้นขาว ๆ คล้ายกับเส้นด้ายลอยอยู่) ผู้ป่วยบางรายในระยะแรกอาจสังเกตว่ามีอาการแสบที่ท่อปัสสาวะ และมีมูกออกเล็กน้อยเฉพาะในช่วงเช้าเท่านั้น หากไม่ได้รับการรักษา อาการเหล่านี้อาจจะเป็นแบบเรื้อรังเป็นแรมเดือนแรมปี นอกจากนี้ยังอาจรู้สึกแสบหรือคันที่บริเวณอวัยวะเพศได้ด้วย
  2. ในฝ่ายหญิง ส่วนมากมักจะไม่มีอาการแสดงออกมา (มากกว่า 75%) ในส่วนน้อยอาจมีอาการตกขาว โดยแบคทีเรียจะทำให้เกิดโรคที่ปากมดลูกและที่ท่อปัสสาวะ ทำให้ผู้หญิงในกลุ่มนี้มักมีตกขาวผิดปกติหรือปัสสาวะแสบขัด ในกรณีที่การติดเชื้อลามไปถึงท่อนำไข่ อาจมีอาการหรือไม่มีอาการก็ได้ แต่ในกรณีที่มีอาการ จะทำให้มีอาการปวดท้องน้อย ปวดหลัง คลื่นไส้ มีไข้ ปวดท้องน้อยในขณะที่มีเพศสัมพันธ์ หรือมีเลือดออกผิดปกติในระหว่างรอบเดือน และการติดเชื้อหนองในเทียมยังสามารถกระจายไปที่ลำไส้ตรงซึ่งเป็นส่วนปลายของลำไส้ใหญ่ที่ต่อกับทวารหนักได้ด้วย
  3. ทั้งสองฝ่าย หากมีเพศสัมพันธ์ทางปาก อาจทำให้เกิดการติดเชื้อในลำคอ ก่อให้เกิดอาการเจ็บคอเรื้อรัง หากมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก อาจทำให้เกิดอาการปวดบริเวณทวารหนัก มีน้ำหรือเลือดออกจากทวารหนักได้

ภาวะแทรกซ้อน

ผู้ป่วยที่เป็นโรคหนองในเทียมโดยที่มีหรือไม่มีอาการก็ตาม หากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ดังนี้

  1. ในฝ่ายชาย มักจะไม่ค่อยมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง แต่บางรายอาจรู้สึกแสบหรือคันที่บริเวณอวัยวะเพศ อาจทำให้ท่อปัสสาวะตีบ ต่อมลูกหมากอักเสบ อัณฑะอักเสบ (มีอาการปวดบวมที่บริเวณลูกอัณฑะ) จนอาจทำให้เป็นหมันได้ ส่วนอาการอื่น ๆ ที่อาจพบได้ คือ การอักเสบของข้อเนื่องจากการติดเชื้อหนองในเทียม ซึ่งเป็นกรณีที่พบได้น้อยมาก และในบางรายอาจพบว่ามีผื่นขึ้นที่ผิวหนัง
  2. ในฝ่ายหญิง อาจทำให้เยื่อบุมดลูกอักเสบ ปีกมดลูกอักเสบ (อุ้งเชิงกรานอักเสบ) เกิดภาวะมีบุตรยากหรือเป็นหมันจากการติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน (ลักษณะดังกล่าวจะพบได้ประมาณ 10-15% ของผู้หญิงที่ไม่ได้รับการรักษา โดยการอักเสบของอวัยวะสืบพันธุ์ภายในรวมทั้งท่อนำไข่นั้น มักจะไม่มีอาการแสดงออกมา และมักจะก่อให้เกิดการทำลายอย่างรุนแรง ทั้งที่ท่อนำไข่ มดลูก และอวัยวะข้างเคียงที่อยู่ใกล้ ๆ ซึ่งการทำลายนี้จะก่อให้เกิดอาการปวดท้องน้อยเรื้อรัง เกิดภาวะมีบุตรยาก หรือเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้)
  3. ทั้งสองเพศ อาจทำให้เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เยื่อบุหัวใจอักเสบได้ แต่จะพบได้น้อยมาก ในบางรายอาจเกิดกลุ่มอาการไรเตอร์ (Reiter’s syndrome) ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการหนองไหลออกจากท่อปัสสาวะร่วมกับข้ออักเสบและเยื่อตาขาวอักเสบ นอกจากนี้ผู้ที่เป็นโรคหนองในเทียมที่ไม่ได้รับการรักษา ยังอาจทำให้ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ได้ง่ายยิ่งขึ้นอีกด้วยเมื่อได้รับการสัมผัสเชื้อในช่วงเวลาดังกล่าว

การรักษา

  1. เมื่อมีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นหนองในเทียม ควรงดการมีเพศสัมพันธ์และไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม นอกจากนี้ควรแนะนำให้คู่นอนของคุณเข้ารับการตรวจรักษาที่เหมาะสมด้วยเช่นกัน (หากคนใดคนหนึ่งเป็นโรคนี้ อีกคนจะต้องเข้ารับการรักษาไปด้วยไม่ว่าจะมีอาการหรือไม่ก็ตาม เพราะหากไม่รักษาจะมีโอกาสเป็นซ้ำได้อีก)
  2. ในกรณีที่แพทย์สงสัยว่าเป็นหนองในเทียม แพทย์จะทำการตรวจยืนยันด้วยการนำสารคัดหลั่งหรือหนอง (เก็บได้จากปัสสาวะ สารคัดหลั่งจากท่อปัสสาวะเพศชาย หรือสารคัดหลั่งจากปากมดลูกเพศหญิง) ไปย้อมสีและส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ หรือนำไปเพาะเชื้อ ถ้าพบว่าเป็นโรคหนองในเทียมจริง แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะขนานใดขนานหนึ่ง
  3. ผู้ป่วยควรได้รับการเจาะเลือดตรวจวีดีอาร์แอล (Venereal Disease Research Laboratory – VDRL) และตรวจหาเชื้อเอชไอวี (HIV) ตั้งแต่ก่อนรักษาครั้งหนึ่ง และต้องกลับมาตรวจซ้ำอีกครั้งในอีก 3 เดือนต่อมา เพื่อให้แน่ใจว่าหายแล้วและไม่ติดเชื้อดังกล่าว
  4. ในหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคหนองในเทียมและไม่ได้รับการรักษา อาจส่งผลให้เกิดการคลอดก่อนกำหนดได้ และอาจทำให้ทารกติดเชื้อที่ดวงตาและระบบทางเดินหายใจในทารกแรกคลอดได้อีกด้วย ซึ่งจะทำให้เกิดตาแดงและปอดบวมขึ้นตามลำดับ (เมื่อทารกได้รับเชื้อในระหว่างการคลอด อาจทำให้ทารกเกิดอาการตาอักเสบหลังคลอดประมาณ 5-14 วัน แต่อาการมักจะมีความรุนแรงน้อยกว่าตาอักเสบจากการติดเชื้อหนองในแท้ ซึ่งในการรักษานั้นแพทย์จะให้ยาป้ายตาเตตราไซคลีน ป้ายตาวันละ 4 ครั้ง และให้ยาอิริโทรมัยซิน ในขนาด 30 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน เป็นระยะเวลา 21 วัน)
  5. ในระหว่างการรักษาผู้ป่วยควรงดการดื่มเหล้า และงดการมีเพศสัมพันธ์ออกไปก่อนจนกว่าตนและคู่นอนจะหายดี (ในฝ่ายหญิงที่สามีไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องจะมีโอกาสในการติดเชื้อซ้ำได้อีก ซึ่งการที่มีการติดเชื้อซ้ำแล้วซ้ำอีกจะทำให้มีความเสี่ยงสูงขึ้นที่จะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคที่อวัยวะสืบพันธุ์อย่างอุ้งเชิงกรานอักเสบ หรือเกิดภาวะมีบุตรยาก)

โรคหนองในเทียมอาจเป็นเรื้อรังและรักษาให้หายได้ยากกว่าโรคหนองในแท้ เนื่องจากส่วนใหญ่จะตรวจไม่พบเชื้อที่เป็นต้นเหตุ แต่สำหรับโรคหนองในเทียมที่เกิดจากเชื้อคลามัยเดีย (ซึ่งเกิดได้เป็นส่วนใหญ่) จะรักษาให้หายขาดได้ภายใน 14 วัน หากรับประทานยาที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด

สำหรับผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาพบว่าประมาณ 20-30% อาจหายจากโรคหนองในเทียมได้เองภายใน 1-3 สัปดาห์ และประมาณ 60% จะหายได้เองภายใน 8 สัปดาห์

การป้องกัน

  1. เลือกมีคู่นอนเพียงคนเดียว และจะแน่นอนยิ่งขึ้นหากคู่นอนได้รับการตรวจแล้วว่าไม่มีการติดเชื้อใด ๆ ส่วนวิธีอื่นที่ได้ผลก็ได้แก่ การใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอและถูกวิธี
  2. หลีกเลี่ยงการเที่ยวกลางคืนหรือการสำส่อนทางเพศ และถ้าจะหลับนอนกับคนอื่นหรือคนที่สงสัยว่าจะมีเชื้อ ควรใช้ถุงยางอนามัยเสมอ ซึ่งจะช่วยป้องกันโรคนี้ได้เกือบ 100% (ส่วนโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่น ๆ อาจจะได้ผลไม่เต็มที่ และยังมีโอกาสติดเชื้อได้บ้าง)
  3. ในผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ ซึ่งมีอายุ 25 ปีหรือน้อยกว่า และผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 25 ปีและมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น หญิงตั้งครรภ์ ผู้หญิงที่มีคู่นอนคนใหม่ หรือมีคู่นอนในช่วงเวลาเดียวกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ควรได้รับการตรวจคัดกรองโรคหนองในเทียมอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกปีเพื่อความมั่นใจ และอาจจะตรวจมากกว่า 1 ครั้งต่อปีในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง หรือตรวจตามคำแนะนำของแพทย์
  4. ควรดื่มน้ำก่อนร่วมเพศและถ่ายปัสสาวะทันทีหลังร่วมเพศ หรือฟอกล้างสบู่ทันทีหลังร่วมเพศ อาจช่วยลดการติดเชื้อลงได้บ้าง แต่ไม่ใช่ว่าจะได้ผลทุกราย
  5. กินยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันโรคภายหลังการร่วมเพศอาจได้ผลบ้าง แต่ต้องเป็นยาชนิดและขนาดเดียวกันกับที่ใช้ในการรักษา (ซึ่งดูแล้วไม่ค่อยคุ้มเท่าใดนัก สู้รอให้ผลตรวจออกมาหรือมีอาการแสดงออกมาแล้วค่อยรักษาไม่ได้ อีกทั้งยังไม่อาจป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่น ๆ ได้ด้วย)
  6. การกินยาล้างลำกล้อง ซึ่งเป็นยาระงับเชื้อ (Antiseptic) ไม่ใช่ยาทำลายเชื้อ จึงไม่ได้ผลในการป้องกัน (ยานี้กินแล้วจะทำให้ปัสสาวะเป็นสีแปลก ๆ เช่น สีแดง สีเขียว)
  7. หากมีอาการที่บ่งชี้ว่ากำลังเป็นโรคหนองในแท้ หนองในเทียม หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ควรงดการมีเพศสัมพันธ์และรีบไปพบแพทย์ เพราะหากผลตรวจออกมาพบว่าเป็นโรคหนองในเทียม และผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว ก็จะช่วยป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนดังที่กล่าวมาได้ นอกจากนี้ยังต้องแจ้งให้คู่นอนที่มีเพศสัมพันธ์ด้วยภายในช่วง 60 วันที่ผ่านมาได้ทราบเพื่อเข้ารับการตรวจรักษาที่เหมาะสมจนกว่าจะหายดี ก่อนที่จะเริ่มมีเพศสัมพันธ์อีกครั้ง

ที่มา : https://medthai.com/หนองในเทียม

Make Appointment

Relate content :

ฉีดวัคซีนงูสวัดที่ glove clinic

งูสวัดคือไวรัสชนิดหนึ่ง (Herpes zoster) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสตัวเดียวกันกับอีสุกอีใส (Varicella zoster) เมื่อเราติดเชื้อไวรัสอีสุกใสในวัยเด็กแล้ว ไวรัสสามารถที่จะหลบซ่อนได้ในร่างกายเป็นเวลานานหลายปี จนกระทั่งเมื่อร่างกายอ่อนแอ ไวรัสนั้นจึงออกมาทำให้เกิดอาการตุ่มน้ำใส ปวดแสบร้อนตามบริเวณที่เส้นประสาทต่าง ๆ ของร่างกายซึ่งเรียกกันว่างูสวัด . ไวรัสงูสวัดสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อของเส้นประสาทตำแหน่งต่าง ๆ ของร่างกาย โดยอาการของงูสวัดนั้น ผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดแสบร้อนนำมาก่อน โดยอาการดังกล่าวก็คืออาการเส้นประสาทอักเสบจากไวรัสงูสวัดนั่นเอง . หลังจากอาการปวดแสบร้อน ก็จะมีตุ่มน้ำใสขึ้นตรงบริเวณที่ปวด ระยะนี้เชื้อสามารถแพร่กระจายให้ผู้อื่นได้ โดยถ้าผู้ป่วยได้รับยาต้านไวรัสทันเวลา ก็จะทำให้ตุ่มน้ำขึ้นไม่มาก และสามารถลดระยะเวลาของอาการปวดได้อีกด้วย โดยอาการปวดเส้นประสาทหลังติดเชื้อไวรัสงูสวัดนั้นสามารถเป็นเรื้อรัง และจำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวดปลายประสาทในการรักษาเป็นเวลานานจนกว่าอาการจะดีขึ้นได้ . วัคซีนงูสวัด (Shingrix) สามารถป้องกันการเกิดโรคงูสวัดได้เป็นอย่างดี รวมถึงสามารถป้องกันการปวดปลายประสาทที่เกิดหลังการติดเชื้องูสวัดได้อีกด้วย โดยประสิทธิภาพในการป้องกันโรคของวัคซีนงูสวัด (Shingrix) นั้นสูงอย่างน้อย 90 % และระดับภูมิคุ้มกันต่องูสวัดหลังฉีดวัคซีนจะอยู่ไปนานอย่างน้อย 7 ปีหลังจากที่ฉีด . คำแนะนำสำหรับบุคคลทั่วไป แนะนำให้ฉีดวัคซีนงูสวัด (Shingrix) ได้ตั้งแต่เมื่ออายุ 50 ปีขึ้นไป นอกจากนั้นยังแนะนำให้ฉีดวัคซีนงูสวัด (Shingrix) ในกลุ่มคนอายุตั้งแต่ 19 ปีขึ้นไปและมีโรคเรื้อรังที่อาจทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่องและติดเชื้อได้ง่าย โดยการฉีดวัคซีนงูสวัด…

ทอนซิลอักเสบจากเริม

ทอนซิลอักเสบจากเริม เริมหรือ herpes simplex เป็นไวรัสที่ติดต่อได้จากการการสัมผัสสิ่งคัดหลั่งที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส ซึ่งโดยทั่วไปผู้ที่มีเชื้อเริมมักจะไม่มีอาการ และไม่รู้ว่าตัวเองมีเชื้อ และอาจมีตุ่มน้ำใสแตกเป็นแผลเวลาที่ร่างกายอ่อนแอ อาการที่พบบ่อยคือตุ่มน้ำมาที่บริเวณริมฝีปาก หรือที่บริเวณอวัยวะเพศ.โดยในรายที่รับเชื้อเริมจากออรัลเซ็กส์ ก็อาจจะทำให้เกิดแผลที่ทอนซิล มีอาการเหมือนทอนซิลอักเสบจนเป็นหนองได้ ตัวอย่างทอนซิลในภาพนี้ ผู้ป่วยเริ่มมีอาการไข้และเจ็บคอมากหลังจากมีเพศสัมพันธ์มา 4-5 วัน โดยได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะจากหมอหูคอจมูกมาหนึ่งสัปดาห์แล้วแต่อาการยังไม่ดีขึ้น จึงได้มา swab PCR หาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ glove clinic ผลตรวจพบเชื้อ Herpes simplex virus type 2.เชื้อเริมสามารถรักษาได้ด้วยยาต้านไวรัส ในรายนี้หลังกินยาต้านไวรัสแล้วพบว่าหนองที่คอลดลงอย่างรวดเร็วหลังกินยาไปเพียง 2-3 วัน (ดังภาพ) รวมทั้งอาการเจ็บคอดีขึ้นมากเป็นลำดับ.การตรวจ PCR หาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นการตรวจที่แม่นยำ และสามารถตรวจหาเชื้อก่อโรคได้หลายเชื้อในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นหนองในแท้, หนองในเทียม, เริม, รวมถึงเชื้อแบคทีเรียอื่น ๆ โดยการตรวจใช้เวลา 1-2 วันจึงจะได้ผล และสามารถตรวจได้แม้จะไม่มีอาการก็ตาม สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 092-414-9254 หรือ Line Official @gloveclinic (มีแอดข้างหน้า)

ตรวจ HIV รีวิวความรู้สำหรับการตรวจเอชไอวี (HIV test)

เอชไอวีคือไวรัสที่สามารถติดต่อได้จากการมีเพศสัมพันธ์, การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน, และการติดจากแม่สู่ลูก เมื่อติดเชื้อไวรัส HIV ไวรัสจะทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง และติดเชื้อโรคอื่น ๆ ได้ง่าย

ปีนี้มีคนไข้ป่วยด้วยไข้เลือดออกมากกว่า 2-3 ปีที่ผ่านมา

เนื่องจากว่าผู้คนกลับมาใช้ชีวิตปกติ มีการเดินทาง จึงพบการระบาดมากขึ้น โดยจากสถิติของกรมควบคุมโรคพบว่ามีผู้ป่วยด้วยไข้เลือดออกในประเทศไทยเกินกว่า 60,000 รายไปแล้วทั้งปี 2566 ไข้เลือดออกเป็นโรคที่ก่อให้เกิดความรุนแรงได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่เป็นซ้ำครั้งที่ 2 จะมีโอกาสเกิดภาวะช๊อคและเสียชีวิตได้มากขึ้น (โอกาสเสียชีวิตอยู่ราว ๆ 1:1,000) วัคซีนไข้เลือดออกรุ่นใหม่สามารถครอบคลุมได้ทั้ง 4 สายพันธุ์และทั้งนี้ผลการศึกษาพบว่าช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ถึง 80% และลดโอกาสการนอนโรงพยาบาลได้ถึง 90% นอกจากนี้ยังสามารถฉีดได้ทั้งในคนที่เคยและไม่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน (วัคซีนไข้เลือดออกรุ่นเก่าไม่ควรฉีดในคนที่ยังไม่เคยเป็นไข้เลือดออก) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องวัคซีนไข้เลือดออกได้ที่ 092-414-9254, Line Official @gloveclinic (มีแอดข้างหน้า)

HIV แต่กำเนิด

ประเด็นร้อนที่ได้รับการพูดถึงอย่างมากในโลกออนไลน์ที่มีข้อความของนักศึกษาหญิงเปิดเผยว่าตัวเธอเองได้มีเพศสัมพันธ์แบบ one night stand เวลาไปเที่ยวกลางคืนบ่อยครั้ง และได้บอกความจริงว่าเธอเองมีเชื้อ HIV

อาการของเอดส์เป็นอย่างไร ทำความรู้จักกับเอดส์

แท้จริงแล้วเอดส์ไม่ใช่โรค หากแต่คือระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ HIV ซึ่ง HIV นั่นเองคือไวรัสที่ทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย

Tag :

We use cookies to improve performance. and good experience using your website. You can study details at Privacy Policy and can manage your own privacy by clicking on Settings

Privacy Preferences

You can choose your cookie settings by turning them on/off. Cookies of each type are available on request, except essential cookies.

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Strictly necessary cookies
    Always Active

    These types of cookies are essential for the website to function. so that you can use it normally and visit the website You cannot disable cookies in our website system.

  • คุกกี้ที่จำเป็น

    These types of cookies are essential for the website to function. so that you can use it normally and visit the website You cannot disable cookies in our website system.

Save