294/1 Asia Building (11th Floor), Phyathai, Bangkok
Archives
ยาต้าน HIV: ก้าวสำคัญสู่ชีวิตที่มีคุณภาพ
ยาต้าน HIV: ก้าวสำคัญสู่ชีวิตที่มีคุณภาพ ยาต้าน HIV หรือยาต้านไวรัสเอชไอวี คือกลุ่มยาที่ใช้ในการรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวี ยาเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสเอชไอวีในร่างกาย ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น และช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อน ทำไมต้องใช้ยาต้าน HIV ยาต้าน HIV ทำงานอย่างไร ยาต้าน HIV ทำงานโดยการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่ไวรัสเอชไอวีต้องการในการเพิ่มจำนวนตัวเอง เมื่อไวรัสไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะสามารถต่อสู้กับเชื้อได้ดีขึ้น ประเภทของยาต้าน HIV การเลือกใช้ยาต้าน HIV การเลือกใช้ยาต้าน HIV ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น: การใช้ยาต้าน HIV ร่วมกับยาอื่นๆ ยาต้าน HIV บางชนิดอาจมีปฏิกิริยากับยาอื่นๆ ที่ผู้ป่วยกำลังรับประทานอยู่ ดังนั้นจึงควรแจ้งให้แพทย์ทราบถึงยาที่กำลังรับประทานอยู่ทั้งหมดก่อนเริ่มรับประทานยาต้าน HIV ผลข้างเคียงของยาต้าน HIV ยาต้าน HIV อาจมีผลข้างเคียงบ้าง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัว หรือปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ แต่ผลข้างเคียงเหล่านี้มักจะหายไปเอง หรือสามารถบรรเทาได้ด้วยการปรับเปลี่ยนขนาดยาหรือเปลี่ยนชนิดยา การใช้ยาต้าน HIV ชีวิตหลังการเริ่มใช้ยาต้าน HIV การใช้ยาต้าน HIV…
โรคหนองใน: ภัยเงียบที่คุณไม่ควรเพิกเฉย
โรคหนองใน (Gonorrhea) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากแบคทีเรีย Neisseria gonorrhoeae ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่ออวัยวะเพศ ช่องคลอด ท่อปัสสาวะ และทวารหนัก
ตรวจ HIV: ก้าวแรกสู่สุขภาพที่ดี
HIV หรือ Human Immunodeficiency Virus เป็นไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายอ่อนแอต่อโรคติดเชื้อต่าง ๆ การตรวจ HIV เป็นวิธีที่ง่ายและไม่เจ็บปวด สามารถช่วยให้คุณรู้สถานะสุขภาพของคุณได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ทำไมต้องตรวจ HIV? วิธีการตรวจ HIV ผลการตรวจ HIV หากผลการตรวจ HIV เป็นบวก การรู้ว่าผลการตรวจ HIV เป็นบวก อาจเป็นเรื่องที่น่าตกใจ แต่ขอให้คุณรู้ว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียว และมีทางออกเสมอ การได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและเริ่มการรักษาอย่างทันท่วงทีเป็นสิ่งสำคัญที่สุด สามารถช่วยให้ผู้ติดเชื้อ HIV มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและยืดอายุขัยได้ เมื่อได้รับผลตรวจ HIV เป็นบวก คุณควร: การรักษา HIV ปัจจุบันมียาต้านไวรัส HIV ที่สามารถช่วยให้ผู้ติดเชื้อ HIV มีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพได้ ยาต้านไวรัส HIV จะช่วยลดปริมาณไวรัสในร่างกาย ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อน ชีวิตหลังการตรวจพบ HIV การใช้ชีวิตกับ HIV อาจเป็นเรื่องท้าทาย แต่ด้วยการรักษาที่เหมาะสมและการดูแลสุขภาพที่ดี คุณสามารถมีชีวิตที่ปกติได้ การดูแลสุขภาพที่ดีสำหรับผู้ติดเชื้อ…
ฉีดวัคซีนงูสวัดที่ glove clinic
งูสวัดคือไวรัสชนิดหนึ่ง (Herpes zoster) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสตัวเดียวกันกับอีสุกอีใส (Varicella zoster) เมื่อเราติดเชื้อไวรัสอีสุกใสในวัยเด็กแล้ว ไวรัสสามารถที่จะหลบซ่อนได้ในร่างกายเป็นเวลานานหลายปี จนกระทั่งเมื่อร่างกายอ่อนแอ ไวรัสนั้นจึงออกมาทำให้เกิดอาการตุ่มน้ำใส ปวดแสบร้อนตามบริเวณที่เส้นประสาทต่าง ๆ ของร่างกายซึ่งเรียกกันว่างูสวัด . ไวรัสงูสวัดสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อของเส้นประสาทตำแหน่งต่าง ๆ ของร่างกาย โดยอาการของงูสวัดนั้น ผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดแสบร้อนนำมาก่อน โดยอาการดังกล่าวก็คืออาการเส้นประสาทอักเสบจากไวรัสงูสวัดนั่นเอง . หลังจากอาการปวดแสบร้อน ก็จะมีตุ่มน้ำใสขึ้นตรงบริเวณที่ปวด ระยะนี้เชื้อสามารถแพร่กระจายให้ผู้อื่นได้ โดยถ้าผู้ป่วยได้รับยาต้านไวรัสทันเวลา ก็จะทำให้ตุ่มน้ำขึ้นไม่มาก และสามารถลดระยะเวลาของอาการปวดได้อีกด้วย โดยอาการปวดเส้นประสาทหลังติดเชื้อไวรัสงูสวัดนั้นสามารถเป็นเรื้อรัง และจำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวดปลายประสาทในการรักษาเป็นเวลานานจนกว่าอาการจะดีขึ้นได้ . วัคซีนงูสวัด (Shingrix) สามารถป้องกันการเกิดโรคงูสวัดได้เป็นอย่างดี รวมถึงสามารถป้องกันการปวดปลายประสาทที่เกิดหลังการติดเชื้องูสวัดได้อีกด้วย โดยประสิทธิภาพในการป้องกันโรคของวัคซีนงูสวัด (Shingrix) นั้นสูงอย่างน้อย 90 % และระดับภูมิคุ้มกันต่องูสวัดหลังฉีดวัคซีนจะอยู่ไปนานอย่างน้อย 7 ปีหลังจากที่ฉีด . คำแนะนำสำหรับบุคคลทั่วไป แนะนำให้ฉีดวัคซีนงูสวัด (Shingrix) ได้ตั้งแต่เมื่ออายุ 50 ปีขึ้นไป นอกจากนั้นยังแนะนำให้ฉีดวัคซีนงูสวัด (Shingrix) ในกลุ่มคนอายุตั้งแต่ 19 ปีขึ้นไปและมีโรคเรื้อรังที่อาจทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่องและติดเชื้อได้ง่าย โดยการฉีดวัคซีนงูสวัด…
ทอนซิลอักเสบจากเริม
ทอนซิลอักเสบจากเริม เริมหรือ herpes simplex เป็นไวรัสที่ติดต่อได้จากการการสัมผัสสิ่งคัดหลั่งที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส ซึ่งโดยทั่วไปผู้ที่มีเชื้อเริมมักจะไม่มีอาการ และไม่รู้ว่าตัวเองมีเชื้อ และอาจมีตุ่มน้ำใสแตกเป็นแผลเวลาที่ร่างกายอ่อนแอ อาการที่พบบ่อยคือตุ่มน้ำมาที่บริเวณริมฝีปาก หรือที่บริเวณอวัยวะเพศ.โดยในรายที่รับเชื้อเริมจากออรัลเซ็กส์ ก็อาจจะทำให้เกิดแผลที่ทอนซิล มีอาการเหมือนทอนซิลอักเสบจนเป็นหนองได้ ตัวอย่างทอนซิลในภาพนี้ ผู้ป่วยเริ่มมีอาการไข้และเจ็บคอมากหลังจากมีเพศสัมพันธ์มา 4-5 วัน โดยได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะจากหมอหูคอจมูกมาหนึ่งสัปดาห์แล้วแต่อาการยังไม่ดีขึ้น จึงได้มา swab PCR หาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ glove clinic ผลตรวจพบเชื้อ Herpes simplex virus type 2.เชื้อเริมสามารถรักษาได้ด้วยยาต้านไวรัส ในรายนี้หลังกินยาต้านไวรัสแล้วพบว่าหนองที่คอลดลงอย่างรวดเร็วหลังกินยาไปเพียง 2-3 วัน (ดังภาพ) รวมทั้งอาการเจ็บคอดีขึ้นมากเป็นลำดับ.การตรวจ PCR หาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นการตรวจที่แม่นยำ และสามารถตรวจหาเชื้อก่อโรคได้หลายเชื้อในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นหนองในแท้, หนองในเทียม, เริม, รวมถึงเชื้อแบคทีเรียอื่น ๆ โดยการตรวจใช้เวลา 1-2 วันจึงจะได้ผล และสามารถตรวจได้แม้จะไม่มีอาการก็ตาม สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 092-414-9254 หรือ Line Official @gloveclinic (มีแอดข้างหน้า)
ตรวจ HIV รีวิวความรู้สำหรับการตรวจเอชไอวี (HIV test)
เอชไอวีคือไวรัสที่สามารถติดต่อได้จากการมีเพศสัมพันธ์, การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน, และการติดจากแม่สู่ลูก เมื่อติดเชื้อไวรัส HIV ไวรัสจะทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง และติดเชื้อโรคอื่น ๆ ได้ง่าย
ปีนี้มีคนไข้ป่วยด้วยไข้เลือดออกมากกว่า 2-3 ปีที่ผ่านมา
เนื่องจากว่าผู้คนกลับมาใช้ชีวิตปกติ มีการเดินทาง จึงพบการระบาดมากขึ้น โดยจากสถิติของกรมควบคุมโรคพบว่ามีผู้ป่วยด้วยไข้เลือดออกในประเทศไทยเกินกว่า 60,000 รายไปแล้วทั้งปี 2566 ไข้เลือดออกเป็นโรคที่ก่อให้เกิดความรุนแรงได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่เป็นซ้ำครั้งที่ 2 จะมีโอกาสเกิดภาวะช๊อคและเสียชีวิตได้มากขึ้น (โอกาสเสียชีวิตอยู่ราว ๆ 1:1,000) วัคซีนไข้เลือดออกรุ่นใหม่สามารถครอบคลุมได้ทั้ง 4 สายพันธุ์และทั้งนี้ผลการศึกษาพบว่าช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ถึง 80% และลดโอกาสการนอนโรงพยาบาลได้ถึง 90% นอกจากนี้ยังสามารถฉีดได้ทั้งในคนที่เคยและไม่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน (วัคซีนไข้เลือดออกรุ่นเก่าไม่ควรฉีดในคนที่ยังไม่เคยเป็นไข้เลือดออก) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องวัคซีนไข้เลือดออกได้ที่ 092-414-9254, Line Official @gloveclinic (มีแอดข้างหน้า)
HIV แต่กำเนิด
ประเด็นร้อนที่ได้รับการพูดถึงอย่างมากในโลกออนไลน์ที่มีข้อความของนักศึกษาหญิงเปิดเผยว่าตัวเธอเองได้มีเพศสัมพันธ์แบบ one night stand เวลาไปเที่ยวกลางคืนบ่อยครั้ง และได้บอกความจริงว่าเธอเองมีเชื้อ HIV
อาการของเอดส์เป็นอย่างไร ทำความรู้จักกับเอดส์
แท้จริงแล้วเอดส์ไม่ใช่โรค หากแต่คือระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ HIV ซึ่ง HIV นั่นเองคือไวรัสที่ทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย
อาการ HIV จากการติดเชื้อไวรัส
HIV คืออะไรและมีอาการอย่างไร HIV (human immunodeficiency virus) คือไวรัสที่ทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย และถ้าไม่ได้รับการรักษาจะนำไปสู่ภาวะเอดส์ (AIDS หรือ acquired immunodeficiency syndrome) ซึ่งปัจจุบันไม่มีการรักษา HIV ให้หายขาดได้ (การรักษาหายขาดยังอยู่ในการทดลอง) แต่สามารถทานยาต้านไวรัสควบคุมไวรัสในเลือดให้อยู่ในปริมาณที่ต่ำจนตรวจไม่พบ (undetectable) และสามารถใช้ขีวิตที่สุขภาพที่ดีเช่นคนทั่วไปและไม่แพร่เชื้อให้คู่ของตัวเองได้ อาการ HIV ส่งผลต่อร่างกายตามระยะการติดเชื้อต่างๆ การติดเชื้อไวรัส HIV สามารถทำให้เกิดอาการให้หลายระบบของร่างกาย ตัวไวรัส HIV เองนั้นจะมีความจำเพาะต่อเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ซึ่งเป็นเซลล์ที่ควบคุมภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเมื่อเซลล์ CD4 ลดลง จะทำให้ร่างกายอ่อนแอและเกิดการติดเชื้อได้ง่าย ซึ่งอาจมีลักษณะจำเพาะ เช่น การติดเชื้อราในช่องปาก (oral candidiasis), ปอดอักเสบที่เกิดจากเชื้อรา (pneumocystis pneumonia) , หรือวัณโรคแบบแพร่กระจายทั่วตัว (disseminated tuberculosis) เป็นต้น โดยโรคต่าง ๆ ที่กล่าวมามักจะเจอเมื่อผู้ป่วยอยู่ในภาวะเอดส์ ในบทความนี้เราจะขอพูดถึงอาการของ HIV ก่อน และจะขอแยกอาการของภาวะเอดส์ไปอธิบายในอีกบทความ…
ฝีดาษลิง อาการและการรักษา
Monkeypox หรือฝีดาษลิง ขณะนี้ได้มีการแพร่กระจายในกลุ่ม LGBTQ อย่างต่อเนื่องในประเทศไทย โดยจากข้อมูลของกรมควบคุมโรคล่าสุด 21 ส.ค. 66 มีคนไข้ติดเชื้อฝีดาษทั้งหมดเกือบ 200 ราย ซึ่งในความเป็นจริงคงยังมีคนไข้ที่มีอาการแต่ไม่ได้เข้าระบบอีกมาก ทำให้ตัวเลขที่แสดงน่าจะต่ำกว่าความเป็นจริง คนไข้อาจจะมาด้วยไข้หรือปวดเมื่อยตัว 3-5 วันก่อนที่จะเริ่มสังเกตว่ามีตุ่มน้ำตามตัว การสังเกตตุ่มน้ำที่เป็นลักษณะจำเพาะของฝีดาษลิงนั้น ก็คือตุ่มน้ำมักจะอยู่เดี่ยว ๆ และมีขนาดใหญ่กว่าตุ่มน้ำทั่วไป และยังอาจเห็นลักษณะเหมือนหัวหนองที่ตุ่มน้ำได้อีกด้วย บางรายอาจจะนำมาด้วยแผลที่อวัยวะเพศซึ่งก็คือทางเข้าของเชื้อฝีดาษลิง และมีต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณขาหนีบร่วมด้วย แม้จะมีรายงานผู้เสียชีวิตจากโรคฝีดาษลิงอยู่บ้าง แต่สถิติของการเสียชีวิตถือว่าต่ำมากโดยอยู่ราว ๆ 1 ต่อ 1,000 ราย ดังนั้นแม้ว่าโรคจะติดต่อได้ง่ายโดยการสัมผัสใกล้ชิดแต่ก็ไม่ได้มีความรุนแรงมากนัก ยกเว้นในคนไข้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ส่วนการรักษาหลัก ๆ นั้นคือการรักษาตามอาการเหมือนการติดเชื้อไวรัสอื่น ๆ แต่ในรายที่ติดเชื้อรุนแรงและมีความเสี่ยงถึงแก่ชีวิตอาจพิจารณาเลือกใช้ยาต้านไวรัส tecovirimat ซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาฝีดาษ (smallpox) ในอดีต ปัจจุบันยังไม่มีการฉีดวัคซีนป้องกันฝีดาษลิงในประเทศไทย ดังนั้นจึงยังไม่มีการป้องกันที่มีประสิทธิภาพที่ดีพอ คนที่เคยได้รับวัคซีนฝีดาษมาก่อนอาจจะยังมีภูมิคุ้มกันต่อฝีดาษลิงอยู่บ้าง อาจจะสามารถป้องกันการติดเชื้อฝีดาษลิงได้หรือถ้ากรณีที่ติดเชื้อฝีดาษลิงก็อาจจะมีอาการไม่มาก หากคู่นอนของคุณมีผื่นหรือตุ่มน้ำที่น่าสงสัยก็ควรแนะนำให้ไปตรวจหาเชื้อฝีดาษลิงด้วยวิธี PCR นอกจากนี้ก็ควรงดการมีเซ็กส์รวมถึงสัมผัสใกล้ชิดกับบุคคลที่สงสัยว่าติดเชื้อฝีดาษลิง โดยระยะเวลาที่สามารถแพร่เชื้อได้ของผู้ที่มีเชื้อฝีดาษลิงโดยประมาณคือ 21 วันโดยนับจากวันแรกที่เริ่มมีอาการ
การป้องกันภัยเงียบด้วยการฉีดวัคซีน HPV
Human papillomavirus (HPV) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อยที่สุดทั่วโลก อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพต่างๆ รวมถึงหูดที่อวัยวะเพศและมะเร็งบางชนิด อย่างไรก็ตาม มีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับภัยเงียบนี้ นั่นคือ วัคซีน HPV ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ HPV: HPV หมายถึงกลุ่มของไวรัสที่ติดเชื้อในผิวหนังและเยื่อเมือก ส่วนใหญ่ติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ และใครก็ตามที่มีเพศสัมพันธ์มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้ เชื้อ HPV มีมากกว่า 100 ชนิด โดยบางสายพันธุ์มีความเสี่ยงสูงในการก่อให้เกิดมะเร็ง และเชื้ออื่นๆ ที่ก่อให้เกิดหูดที่อวัยวะเพศ ความสำคัญของการฉีดวัคซีน HPV: ความปลอดภัยและประสิทธิผลของวัคซีน: การวิจัยอย่างกว้างขวางและการทดลองทางคลินิกจำนวนมากได้แสดงให้เห็นถึงความปลอดภัยและประสิทธิผล ของวัคซีนเอชพีวี วัคซีนนี้แนะนำสำหรับทั้งชายและหญิง โดยทั่วไปแล้วฉีดสองหรือสามครั้งในช่วงหลายเดือน ผลข้างเคียงที่พบบ่อย (หากมี) จะไม่รุนแรงและเกิดขึ้นชั่วคราว เช่น อาการเจ็บบริเวณที่ฉีด วัคซีน HPV เป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับ HPV รวมถึงมะเร็งปากมดลูกและหูดที่อวัยวะเพศ โดยการฉีดวัคซีน บุคคลต่างๆ ไม่เพียงแต่ป้องกันตนเองเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อ HPV ในชุมชนโดยรวมอีกด้วย ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวัคซีน HPV และความเหมาะสมสำหรับคุณหรือคนที่คุณรักไม่ว่าเพศใดก็ตาม เพราะการป้องกันย่อมดีกว่าการรักษาเสมอครับ สำหรับท่านที่สนใจ หรือต้องการสอบถามเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันไวรัส HPV…
การตรวจ รักษา ซิฟิลิส
หลายคนงงว่าได้ซิฟิลิสมาได้ยังไงทั้งที่ตัวเองใส่ถุงป้องกันอย่างดี ความเป็นจริงซิฟิลิสนั้นติดง่ายมากโดยเฉพาะระยะที่สอง (secondary syphilis) เคยมีการศึกษาแสดงให้เห็นว่าเพียงแค่การมีออรัลเซกส์อย่างเดียวกับคนที่มีเชื้อซิฟิลิส ก็ทำให้มีโอกาสติดซิฟิลิสถึง 10-15% นอกจากนั้นเมื่อได้รับเชื้อซิฟิลิสมาแล้วก็มักจะไม่มีอาการ ทำให้เราควบคุมการระบาดได้ยาก การตรวจเลือดสกรีนหาเชื้อซิฟิลิสเป็นระยะ (ทุก 3-6 เดือนขึ้นกับความเสี่ยง) จะทำให้เรามั่นใจและสามารถรักษาโรคได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ อาการของซิฟิลิส ซิฟิลิสเป็นโรคที่มีการดำเนินโรคค่อนข้างช้า โดยซิฟิลิสในระยะแรก (primary syphilis) นั้นเกิดหลังจากได้รับเชื้อ 3-4 อาทิตย์ (เฉลี่ย 10-90 วัน) โดยคนไข้อาจมีแผลตรงทางเข้าของเชื้อ และมักจะเป็นแผลขอบเรียบและไม่เจ็บ ดังนั้นแผลอาจจะเกิดได้ที่ริมฝีปาก, อวัยวะเพศ, หรือรูทวารหนักก็ย่อมได้ คนไข้หลายรายอาจไม่รู้สึกว่าเป็นแผลด้วยซ้ำไปจึงทำให้ไม่ได้มาตรวจรักษา ซิฟิลิสในระยะที่สอง (secondary syphilis) มักเกิดหลังได้รับเชื้อไปเป็นเวลา 2-3 เดือน ระยะนี้คนไข้มักจะมีผื่นนูนแดงกระจายตามบริเวณต่าง ๆ ของร่างกายลักษณะที่ค่อนข้างจำเพาะของผื่นที่เกิดจากซิฟิลิสคือผื่นมักจะปรากฏที่บริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้า ซึ่งในระยะที่สองนี้คนไข้อาจจะมีไข้หรือต่อมน้ำเหลืองโตร่วมด้วยเนื่องจากเป็นระยะที่เชื้อมีจำนวนมากในร่างกาย ทั้งยังสามารถแพร่กระจายให้คนที่มีเพศสัมพันธ์ด้วยค่อนข้างง่ายถึงแม้ว่าจะมีแค่ออรัลเซ็กส์ก็ตาม หลังจากนั้นซิฟิลิสสามารถหลบซ่อนอยู่ในร่างกายโดยไม่แสดงอาการได้เป็นระยะเวลาหลายปี ดังนั้นการตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อซิฟิลิสแม้ว่าผู้ป่วยจะไม่มีอาการ จึงยังมีความสำคัญมากในคนที่มีความเสี่ยง ซิฟิลิสระยะที่สาม (tertiary syphilis) มักจะเกิดเมื่อมีเชื้อซิฟิลิสมานานแล้วไม่ได้รักษาโดยในระยะนี้เชื้อซิฟิลิสสามารถเข้าไปในสมองหรือระบบประสาทส่วนกลาง (neurosyphilis) ทั้งยังสามารถทำให้เกิดจอตาอักเสบ หรือการอักเสบของเส้นเลือดแดงใหญ่ได้ ซึ่งระยะนี้จะเป็นระยะที่อันตรายเนื่องจากไปกระทบอวัยวะสำคัญ และยังรักษาได้ยากอีกด้วย…
อาการของ HIV
โดยทั่วไปอาการของผู้ติดเชื้อ HIV มักจะขึ้นกับระยะของการติดเชื้อของแต่ละคน โดยสามารถแบ่งได้เป็นระยะติดเชื้อฉับพลัน (acute HIV infection), ระยะที่ไม่มีอาการ (asymptomatic HIV infection) และระยะที่ภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือที่ชอบเรียกกันว่าโรคเอดส์ (AIDS or Advanced Immunodeficiency Syndrome)
แค่ภายนอกออรัลกันเฉยๆ ติดซิฟิลิสได้ !
หลายคนงงว่าได้ซิฟิลิสมาได้ยังไงทั้งที่ตัวเองใส่ถุงป้องกันอย่างดี ความเป็นจริงซิฟิลิสนั้นติดง่ายมากโดยเฉพาะระยะที่สอง (secondary syphilis) เคยมีการศึกษาแสดงให้เห็นว่าเพียงแค่การมีออรัลเซกส์อย่างเดียวกับคนที่มีเชื้อซิฟิลิส ก็ทำให้มีโอกาสติดซิฟิลิสถึง 10-15% เกร็ดที่น่าสนใจเกี่ยวกับซิฟิลิส .นอกจากนั้นเมื่อได้รับเชื้อซิฟิลิสมาแล้วก็มักจะไม่มีอาการ ทำให้เราควบคุมการระบาดได้ยาก การตรวจเลือดสกรีนหาเชื้อซิฟิลิสเป็นระยะ (ทุก 3-6 เดือนขึ้นกับความเสี่ยง) จะทำให้เรามั่นใจและสามารถรักษาโรคได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ปรึกษาเรื่องซิฟิลิสเพิ่มเติมได้ที่โกลฟคลินิกนะครับ
พี่เล็ก ชาญวิทย์ ปาคำ จากวัยรุ่นเมืองเหนือสู่ผู้ให้คำปรึกษาด้านเอชไอวี
วันนี้เราจะมาคุยกับพี่เล็ก ชาญวิทย์ ปาคำ ผู้ให้คำปรึกษาด้านเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ประสบการณ์มากกว่า 20 ปี
6 คำถามเกี่ยวกับ HPV Vaccine (วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก และหูดหงอนไก่)
วัคซีนป้องกันเชื้อ HPV แบบ 4 ชนิดต่างกับแบบ 9 ชนิดยังไงบ้าง?
วัคซีนงูสวัด / Shingles vaccine
วัคซีนงูสวัดเหมาะสำหรับผู้สูงอายุ 50 ปีขึ้นไป เพราะคนวัยนี้เมื่อเกิดโรคงูสวัดจะมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงกว่าวัยอื่น
วัคซีนปอดอักเสบ Prevnar13 + Pneumovax23
โรคปอดอักเสบ (Pneumonia) เป็นโรคในระบบทางเดินหายใจแบบเฉียบพลันที่พบบ่อย โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ Vaxigrip
ไข้หวัดใหญ่ สามารถป้องกันได้ง่ายๆ ด้วยการฉีดวัคซีน
Hepatitis B vaccine
วัคซีนไวรัสตับอักเสบบีประกอบด้วยโปรตีนที่ผิวของไวรัส (HBsAg) ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
HPV vaccine
เชื้อไวรัส HPV คืออะไร? ทำไมต้องฉีดวัคซีน HPV สาเหตุหลักที่ทำให้ป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูกนั้นเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (Human papilloma virus infection: HPV) ไม่เพียงแต่ผู้หญิงเท่านั้นที่ติดเชื้อไวรัสเอชพีวีได้ ผู้ชายก็สามารถติดเชื้อชนิดนี้ได้เช่นกันและส่งผลให้เกิดโรคร้ายแรงตามมาด้วย แต่ปัจจุบันเราสามารถลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดมะเร็งได้ง่ายๆ ด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก หรือวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (HPV) สำหรับผู้หญิง เป็นสาเหตุทำให้เกิดมะเร็งที่ช่องคลอด ปากช่องคลอด ทวารหนัก มะเร็งบริเวณปาก และลำคอ หูดหงอนไก่ ทั้งยังเชื่อมโยงกับการเกิดโรคหัวใจด้วย สำหรับผู้ชาย การติดเชื้อ HPV อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดมะเร็งที่อวัยวะเพศ ทวารหนัก มะเร็งบริเวณปาก และลำคอ หูดหงอนไก่ มะเร็งปากมดลูกส่วนมากจะพบในผู้หญิงวัย 30-55 ปี ผู้ที่มีเชื้อไวรัสชนิดนี้มักจะไม่มีอาการใดๆ เกิดขึ้นนานนับปีทำให้แพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้โดยไม่รู้ตัว กระทั่งมีเลือดออก มีตกขาวผิดปกติ อวัยวะเพศแสบร้อน มีก้อนเนื้อขนาดใหญ่อุดกั้นบริเวณท่อปัสสาวะ ช่องคลอด หรือทวารหนัก ทำให้มีอาการคันและปวดตามมา วัคซีนมะเร็งปากมดลูก หรือวัคซีน HPV คืออะไร? วัคซีน 4 สายพันธุ์ (Gardasil) ป้องกันทั้งเชื้อไวรัสเอชพีวีสายพันธุ์ 16, 18 และสายพันธุ์ 6, 11 ที่เป็นสาเหตุของโรคหูดหงอนไก่ เดิมฉีดได้ในช่วงอายุ 9-26 ปี แต่ปัจจุบันมีการศึกษารับรองว่าสามารถฉีดได้จนถึงอายุ 45 ปีแล้ว ส่วนผู้ชายฉีดได้ในช่วงอายุ 9-26 ปี วัคซีนมีประสิทธิภาพในการป้องกันมะเร็งปากมดลูกจากเชื้อ…
ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกแบบใหม่ / Thin Prep PAP smear
ข้อมูลจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติระบุว่า มะเร็งปากมดลูก (Cervical cancer) เป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 2 ของหญิงไทย
Post-Exposure Prophylaxis (PEP)
ยา PEP คืออะไร ยาเป๊ป หรือ ยา PEP ย่อมาจาก Post-exposure prophylaxis เป็นยาต้านไวรัสฉุกเฉิน เพื่อป้องกันการติดเชื้อ HIV หลังจากมีความเสี่ยงมาภายใน 72 ชั่วโมง ยาเป๊ปใช้เฉพาะเวลาจำเป็นเท่านั้น ไม่ควรนำมากินประจำเพื่อป้องกัน HIV และไม่ควรใช้ยาแทนการสวมถุงยางอนามัยเช่นกัน เว้นแต่จะมีความเสี่ยงตลอดก็ควรกินยา PrEP แทนจะดีกว่า ยา PEP เหมาะกับใครบ้าง 1. มีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อ HIV หรือไม่ทราบผลเลือด 2. มีการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน 3. ถูกข่มขืนกระทำชำเรา 4. บุคลากรทางการแพทย์ที่โดนเข็มตำ สัมผัสสารคัดหลั่ง ยา PEP ควรกินเมื่อไหร่ ควรรีบกินหลังจากสัมผัสความเสี่ยงมาภายใน 72 ชั่วโมง ยิ่งเริ่มกินเร็วเท่าไหร่ ยิ่งป้องกันมาก ยา PEP ต้องกินนานแค่ไหน ควรกินต่อเนื่องกันไป 28 วัน และต้องทำการตรวจเลือดซ้ำอีกครั้งหลังกินยาเป๊ป ยา PEP มีประสิทธิภาพมากแค่ไหน…
ยา PrEP ป้องกันการติดเชื้อ HIV
ยา PrEP คืออะไร ยาเพร๊พ หรือยา PrEP ย่อมาจาก Pre-exposure prophylaxis ซึ่งคือยาที่ป้องกันการติดเชื้อเข้าสู่ร่างกาย ยาเพร๊พเป็นยาสำหรับผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อ HIV แต่มีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อ หากมีความเสี่ยง การกินยาเพร๊พจะช่วยป้องกันไม่ให้มีการติดเชื้อ HIV เข้าสู่ร่างกายได้ โดยแนะนำให้กินวันละเม็ดเพื่อให้ปริมาณยาอยู่ในร่างกายอย่างเพียงพอที่จะป้องกันการติดเชื้อ หากไม่ได้กินยาทุกวันอาจทำให้ระดับยาไม่ถึงระดับที่ป้องกันเชื้อได้ ยา PrEP เหมาะกับใครบ้าง มีคู่นอนที่มีการติดเชื้อ HIVใช้ถุงยางอนามัยไม่สม่ำเสมอเคยมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาก่อนในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมามีคู่นอนหลายคนมีการใช้เข็มฉีดยาร่วมกันเคยมีประวัติกินยา PEP หลายครั้ง ยา PrEP มีประสิทธิภาพมากแค่ไหน ยาเพร๊พจะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อกินทุกวัน มีหลายรายงานการศึกษาจาก CDC ที่แสดงให้เห็นว่าสามารถป้องกันการติด HIV ผ่านทางเพศสัมพันธ์ได้ถึง 99% และป้องกันผ่านทางเข็มฉีดยาได้ถึง 74% การใช้ถุงยางอนามัยร่วมกันกินยาเพร๊พยิ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภารการป้องกันได้มากขึ้น ยา PrEP มีผลข้างเคียงหรือไม่ สำหรับบางคนอาจมีผลข้างเคียงได้ เช่น คลื่นไส้อาเจียน ปวดหัว เหนื่อยเพลีย แต่มักจะดีขึ้นและหายไปภายในไม่กี่วัน จะมีอาการแค่ช่วงแรกที่เริ่มกินยา หากต้องการกินยา PrEP ต้องทำอย่างไร การกินยาเพร๊พเป็นเรื่องไม่ยาก…
พยาธิในช่องคลอด / Trichomoniasis
พยาธิในช่องคลอด เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อโปรโตซัว Trichomonas vaginalis ซึ่งพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
ไวรัสตับอักเสบ เอ (Viral hepatitis A)
ถึงแม้ว่าโรคไวรัสตับอักเสบชนิดเอ จะไม่ใช่โรคที่รุนแรงหรือโรคเรื้อรัง แต่ก็เป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่าย
ช่องคลอดอักเสบ / Bacterial vaginosis
ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย คือ การติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอดและเกิดการอักเสบต่อมา พบได้บ่อยมากแม้จะไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน
เชื้อราในช่องคลอด / Vaginal candidiasis
เชื้อราในช่องคลอดเป็นอีกโรคที่พบได้บ่อยในผู้หญิง ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อราทำให้มีอาการคันและมีตกขาวผิดปกติได้
อุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic inflmmatory disease – PID)
อุ้งเชิงกรานอักเสบ (Pelvic Inflamatory Disease) คือ การติดเชื้อบริเวณระบบสืบพันธุ์ในเพศหญิง บริเวณมดลูก ปีกมดลูก และท่อนำไข่
ยูเรียพลาสมา/ไมโคพลาสมา
เป็นเชื้อแบคทีเรียกลุ่มหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคหนองในเทียม
โรคเริม / Herpes
โรคเริม เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อไวรัส Herpes Simpextype 1, Herpes Simplex type 2
โรคหนองในเทียม / Non-gonococcal infection
หนองในเทียม เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียตัวอื่นๆ ที่ไม่ใช่หนองในแท้
โรคหนองในแท้ / Gonorrhea
หนองในแท้ เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า Neisseria gonorrhea
เอชพีวีและหูดหงอนไก่ / HPV and genital wart / condyloma accuminata
หูดหงอนไก่ เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อไวรัส Human Papilloma Virus (HPV) ซึ่งมีมากกว่า 40 สายพันธุ์
อาการ HIV จากการติดเชื้อไวรัส
HIV (Human Immunodeficiency Virus) คือ เชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่เป็นสาเหตุของโรคเอดส์ (AIDS) โดยเชื้อจะไปทำลายเม็ดขาว (CD4 lymphocyte)
ซิฟิลิส / Syphilis
ซิฟิลิส เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า Treponema pallidum มีรูปร่างเป็นเกลียวและมีขนาดเล็กมาก
ไวรัสตับอักเสบบี / Hepatitis B
ตับเป็นอวัยวะสำคัญในการจัดการสารอาหาร, กรองของเสียในเลือด, และช่วยต่อสู้กับภาวะติดเชื้อ
ไวรัสตับอักเสบซี / Hepatitis C
ไวรัสตับอักเสบ ซี เป็นโรคมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี (HCV) โดยสามารถติดต่อกันได้ทางเลือด หรือการมีเพศสัมพันธ์ ทั้งนี้หากไม่ได้ทำการรักษา สามารถทำให้เกิดผลที่รุนแรงต่อตับตามมา โดยเฉพาะกับผู้ป่วยที่อยู่ในระยะเรื้อรัง มีโอกาสสูงที่จะพัฒนาเป็นโรคตับที่รุนแรงหรือมะเร็งตับได้ อย่างไรก็ตาม ด้วยการแพทย์และการรักษาในปัจจุบันที่ทันสมัย อาจสามารถรักษาให้หายได้ โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะสามารถควบคุมอาการและดำรงชีวิตได้อย่างเป็นปกติ อาการของไวรัสตับอักเสบ ซี ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี จะไม่ทราบว่าป่วยเป็นโรคนี้เพราะว่าไม่มีอาการแสดงชัดเจน ซึ่งจะพบว่ามีอาการแสดงแล้วก็ต่อเมื่อตับได้รับความเสียหายมากแล้วนั่นเอง ไวรัสตับอักเสบ ซี ระยะเฉียบพลัน มีอาการดังต่อไปนี้ มีผู้ป่วยเพียงส่วนน้อย ที่จะมีอาการแสดงให้เห็นในช่วงระยะ 6 เดือนแรกที่ได้รับการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี แต่ในผู้ป่วยที่มีอาการแสดง อาการนั้น ๆ ก็จะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังการติดเชื้อ นอกจากนั้น ในผู้ป่วยบางราย สามารถหายได้เองโดยระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายสามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้เองในระยะเวลาไม่กี่เดือน และผู้ป่วยจะไม่มีอาการแสดงเพิ่มเติม นอกจากจะได้รับการติดเชื้ออีกครั้ง ในผู้ป่วยที่ยังมีเชื้อไวรัสหลงเหลืออยู่ในร่างกายเป็นเวลาหลายปี จะพัฒนาเกิดเป็นไวรัสตับอักเสบ ซี แบบเรื้อรัง โดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบ ซี ระยะเรื้อรัง จะไม่แสดงอาการจนกว่าตับจะถูกทำลายอย่างรุนแรงแล้วอาการจึงจะปรากฏ ส่วนมากจะปรากฏหลังจากที่ได้รับการติดเชื้อไปแล้วประมาณ 10 ปี ซึ่งอาการที่พบได้มีดังต่อไปนี้ ในระยะเรื้อรังนี้ หากไม่ได้รับการรักษา การติดเชื้อสามารถทำให้เกิดโรคตับที่รุนแรงได้…